‘ลาว’ เผชิญวิกฤติ ‘หนี้ท่วม’ ดอลลาร์แข็งค่า กดดันค่าเงินทั่วเอเชีย

‘ลาว’ เผชิญวิกฤติ ‘หนี้ท่วม’ ดอลลาร์แข็งค่า กดดันค่าเงินทั่วเอเชีย

‘ลาว’ เผชิญวิกฤติ ‘หนี้ท่วม’ หลังดอลลาร์แข็งค่ากดดันค่าเงินทั่วเอเชีย กระทบยอดหนี้ค้างชำระจากเจ้าหนี้ต่างประเทศสู่“กับดักหนี้” ของ “จีน”ที่เข้ามามีบทบาทในประเทศรายได้น้อย

สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียรายงานถึงสถานการณ์ค่าเงินของประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สร้างความกังวลว่า “สปป.ลาว” และประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้น้อยอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ อาจเสี่ยงที่จะเข้าสู่วิกฤต “หนี้ท่วม

ในการประชุมธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ประจำปีที่จัดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในกรุงทบิลิซี ประเทศจอร์เจีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ชุนอิจิ ซูซูกิ กล่าวว่า "จุดอ่อนด้านหนี้สินยังคงเป็นปัญหารุนแรงในบางประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และประเทศที่มีรายได้น้อย"

 

 

หนี้ในประเทศกำลังพัฒนากำลังพุ่ง

นายชุนอิจิ ซูซูกิ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น ได้หารือเกี่ยวกับความยั่งยืนของหนี้สินกับรัฐมนตรีคลังจากประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก ในการประชุม ADB ซึ่งการหารือครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้สินต่อจีดีพี ของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศรายได้ปานกลางในเอเชียจะเพิ่มขึ้นเป็น 82.4% ของจีดีพีรวมกันในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 3% จากปีที่แล้ว  ซึ่งสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับสัดส่วนหนี้สินของประเทศในยุโรปที่ 36.2% และละตินอเมริกา 68.5%

ADB คาดการณ์ว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อจีดีพี ของประเทศที่มีรายได้น้อยในเอเชีย จะเพิ่มขึ้น 1% เป็น 44.6% ในปี 2566  ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศเหล่านี้ ซึ่ง ADB ระบุว่า 70% ของประเทศในเอเชียแปซิฟิกมีการขาดดุลทางการคลัง

‘ลาว’เจอวิกฤติหนี้ท่วมประเทศ

IMF ประเมินไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า มีประเทศรายได้ต่ำ 9 จาก 69 ประเทศ อยู่ในภาวะวิกฤตจากหนี้สินภายนอกประเทศ (External Debt) ขณะที่อีก 25 ประเทศถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับภาวะวิกฤตหนี้สินภายนอก ซึ่งสปป.ลาว เป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ในภาวะวิกฤต ในขณะที่มัลดีฟส์ ปากัวนิวกินี คิริบาส และหมู่เกาะมาร์แชลล์ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงสูง

หนี้สาธารณะของ สปป.ลาว สูงเกิน 120% ของ GDP ในปี 2566 โดยธนาคารโลกรายงานว่า ครึ่งหนึ่งของหนี้สินภายนอกเป็นเจ้าหนี้จากจีน แต่นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่าตัวเลขที่แท้จริงนั้นสูงกว่านั้นมากเมื่อรวมหนี้สาธารณะที่ซ่อนอยู่เข้าไปด้วย โดยมีรายงานว่าจีนกำลังให้ความช่วยเหลือด้านการผ่อนปรนหนี้สินอย่างไม่เป็นทางการ

เจ้าหน้าที่ทางการทูตรายหนึ่งจากอาเซียน เปิดเผยว่า "สปป.ลาว ไม่ได้เป็นแค่ประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับจีนอีกต่อไป แต่กลายเป็นประเทศที่จีนต้องการมีบทบาทมากขึ้นในภูมิภาคนี้" เนื่องจากจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ สปป.ลาว ก่อให้เกิดความกังวลด้านความยั่งยืนของหนี้สิน

สกุลเงินกีบของ สปป.ลาว อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์และบาทไทย โดยในเดือนกุมภาพันธ์เงินกีบอ่อนค่าลง 1.70% และ 0.61% ตามลำดับ ถือเป็นการอ่อนค่าลงต่อเนื่องหลังจาก อ่อนค่าลง 31% ในปี 2566 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพทางการคลังของสปป.ลาว สร้างความตึงเครียดให้กับการชำระหนี้ที่กู้เป็นดอลลาร์

ขณะที่การบริโภคเชื้อเพลิงและอาหารของ สปป.ลาว ส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้า และมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้น ในเดือนกรกฎาคม 2566 รัฐบาลของสปป.ลาว ออกคำสั่งให้ใช้เงินกีบเป็นสกุลเงินเดียวที่ใช้สำหรับการชำระเงินภายในประเทศ

จีนกำลังวาง ‘กับดักหนี้’ ?

ปาเลาและฟิจิ เป็นอีกสองประเทศที่มีระดับหนี้สินเกินกว่า 80% ของ GDP ประเทศหมู่เกาะเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบอื่นๆ ของสภาพอากาศเลวร้าย ส่งผลให้ความต้องการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น

บทบาทของจีนที่มีต่อประเทศเกาะต่างๆ ในแปซิฟิก เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น กรณีที่หมู่เกาะโซโลมอนตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันในปี 2562 สหรัฐ และพันธมิตร พยายามเสนอทางเลือกแทนความร่วมมือกับจีน ผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพพร้อมคำมั่นสัญญาต่อความโปร่งใสเรื่องหนี้สิน

กรณีของ “ศรีลังกา” ตัวอย่างที่ชัดเจนของ "กับดักหนี้สิน" ท่าเรือฮัมบันโตตาเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จศรีลังกากู้เงินจากจีนจำนวนมหาศาลเพื่อก่อสร้างท่าเรือ

เมื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้  ศรีลังกาถูกบังคับให้ยกท่าเรือให้รัฐวิสาหกิจของจีนเช่าเป็นเวลายาวนานถึง 99 ปี ด้วยมูลค่าสูงถึง 1.12 พันล้าน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในด้านความมั่นคงของอินโด-แปซิฟิก บางฝ่ายมองว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ประเทศในเอเชียใต้แห่งนี้ตกอยู่ในกับดักหนี้สินที่จีนวางไว้ 

เศรษฐกิจของศรีลังกาทรุดตัวลงอย่างหนัก หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลศรีลังกาประกาศในเดือนเมษายน 2565 ว่าจะระงับการชำระหนี้ต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้โดยพฤตินัย