'คัน แดง ลอกซ้ำซาก' อาการภูมิแพ้ในเด็ก หายเองได้จริงหรือ?

ทุกครั้งที่เห็นเด็กเป็นโรคภูมิแพ้ หลายคนมักจะพูดว่า เดี๋ยวโตไปก็หายเอง และโรคภูมิแพ้กลายเป็นโรคประจำของเด็กหลายๆ คน
KEY
POINTS
- โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่ร่างกายไวต่อสิ่งกระตุ้นหรือสารก่อภูมิแพ้ โดยอาการของโรคจะเกิดเมื่อร่างกายได้รับสิ่งกระตุ้นผ่านทางการกิน การสูดดม การทา หรือการฉีด
- โรคภูมิแพ้ที่สามารถหายขาดเองได้ ได้แก่ แพ้นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง แป้งสาลี ถั่วลิสง ลมพิษ ภูมิแพ้ผิวหนัง และโรคหืดที่เกิดขึ้นในเด็ก (ส่วนใหญ่หายได้)
- ส่วนโรคภูมิแพ้ที่ไม่หายขาด ได้แก่ ภูมิแพ้จมูก ภูมิแพ้อากาศ แพ้ยา โรคหืดในผู้ใหญ่ (ส่วนใหญ่หายเองไม่ได้)
ทุกครั้งที่เห็นเด็กเป็นโรคภูมิแพ้ หลายคนมักจะพูดว่า เดี๋ยวโตไปก็หายเอง และโรคภูมิแพ้กลายเป็นโรคประจำของเด็กหลายๆ คน แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น โรคภูมิแพ้ สามารถหายเองได้จริง หรือเป็นเพียงความเข้าใจผิดของหลายครอบครัว
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) เป็นผื่นลักษณะ แห้ง แดง คัน ลอกเป็นขุย มักจะเป็น ๆ หาย ๆ วนซ้ำอยู่ที่เดิม ๆ มีผิวแห้งร่วมด้วย และอาจจะตามมาด้วยอาการอื่น ๆ เช่น ภูมิแพ้อากาศ หอบหืด หากถามว่ามีโอกาสจะหายไหมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก
จากงานวิจัยพบว่า หากพบในเด็กเล็กอายุที่เริ่มเป็น (อายุ 0-2 ปี) ราวร้อยละ 50 ของเด็กที่ป่วยจะสามารถหายได้เองเมื่ออายุเกิน 5 ปี เมื่อผิวแข็งแรงขึ้นดีขึ้น และในอีกร้อยละ 50 อาจจะหายในช่วงที่อายุมากขึ้น พบส่วนน้อยที่จะเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังไปจนถึงโต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ฝุ่นPM2.5 กระตุ้นภูมิแพ้ รบกวนร่างกาย ใช้ชีวิตต้องระวัง!!
‘โรคภูมิแพ้’ รุนแรงขึ้น เพราะ ‘โลกร้อน’ มีคนป่วยเพิ่ม-อาการแย่ลง
ภูมิแพ้ในเด็ก คืออะไร?
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่ร่างกายไวต่อสิ่งกระตุ้นหรือสารก่อภูมิแพ้ โดยอาการของโรคจะเกิดเมื่อร่างกายได้รับสิ่งกระตุ้นผ่านทางการกิน การสูดดม การทา หรือการฉีด หลังจากนั้นสารก่อภูมิแพ้จะไปกระตุ้นกลไกระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงาน ทำให้เกิดอาการตามระบบต่างๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่แล้วอาการของโรคภูมิแพ้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเด็กหรือผู้ใหญ่มักคล้ายกัน แต่ที่พบบ่อยในเด็กมักแตกต่างไปตามช่วงอายุ
ภูมิแพ้ในเด็กที่พบบ่อย
โรคภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในเด็กสามารถแบ่งได้ตามช่วงอายุ ดังนี้
- ช่วงขวบปีแรก มักพบการแพ้อาหาร เช่น นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง แป้งสาลี ถั่วลิสง และภูมิแพ้ผิวหนัง
- ช่วงอายุ 2 ปีขึ้นไป มักพบโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้จมูก หรือภูมิแพ้อากาศ และโรคหืด
- ส่วนที่พบได้ทุกช่วงอายุ เช่น โรคลมพิษ แพ้ยา หรือแพ้แมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ผึ้ง ต่อ แตน หรือมดคันไฟ
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภูมิแพ้ในเด็ก
1. พันธุกรรม :
- หากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีความเสี่ยงเป็นภูมิแพ้ 50-60%
- พ่อและแม่เป็นภูมิแพ้ทั้ง 2 คน ลูกจะมีความเสี่ยงเป็นภูมิแพ้ 80%
- พ่อและแม่ไม่เป็นภูมิแพ้ ลูกจะมีความเสี่ยงเป็นภูมิแพ้เพียง 10% เนื่องจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมก็มีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน
2. สิ่งแวดล้อม : ปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็นสิ่งแวดล้อมตั้งแต่
- เด็กอยู่ในครรภ์ของคุณแม่
- ระหว่างคลอด และ
- หลังจากคลอด
โดยที่สิ่งแวดล้อมทั้ง 3 ช่วง ทำให้เกิดภูมิแพ้ได้ทั้งหมด เช่น อาหารบางอย่างหรือควันบุหรี่ที่คุณแม่ได้รับระหว่างตั้งครรภ์ วิธีการคลอด (ผ่าคลอดหรือคลอดธรรมชาติ) การได้รับสารก่อภูมิแพ้ ทั้งสารก่อภูมิแพ้ทางอาหารหรืออากาศหลังจากคลอดออกมาแล้ว ก็ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กได้
อาการภูมิแพ้ในเด็ก...มีอะไรบ้าง?
อาการของภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นในเด็กมีมากมายหลายอาการ ซึ่งแบ่งตามระบบของร่างกายได้ดังนี้
- ระบบทางเดินหายใจ : คัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหล เลือดกำเดาไหลบ่อย มีอาการหายใจหอบเหนื่อย หรือมีอาการไอคล้ายกับมีเสมหะในช่วงเช้า หรือมีอาการไอระหว่างออกกำลังกาย
- ระบบไหลเวียนโลหิต : มีความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ หรือเกิดภาวะช็อก ซึ่งอาการเหล่านี้มักพบในอาการแพ้แบบรุนแรง
- ระบบทางเดินอาหาร : มีอาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด หรือท้องเสียเรื้อรัง
- ระบบผิวหนัง : เป็นลมพิษ มีผื่นแห้งๆ ตามร่างกาย หรือมีผื่นตามข้อพับ บางรายอาจพบอาการผื่นผิวหนังอักเสบจากการระคายเคือง เช่น สัมผัสกับสารเคมี หรือสัมผัสกับสิ่งที่แพ้ ลักษณะผื่นคล้ายผดผื่นขึ้นบริเวณที่สัมผัสโดน
- ระบบอื่นๆ : เช่น คันตา ระคายเคืองตา ร้องกวน หรือมีอาการซีดเรื้อรัง เป็นต้น
ภูมิแพ้เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสที่จะหายขาดได้ไหม
พญ.สัญชวัล วิทยากรฤกษ์ สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า คำถามที่ว่า หายได้ไหม หากดูจากอายุ ความรุนแรงของโรค เช่น ผื่นขึ้นนาน ๆ ครั้ง หรือ 1 เดือนขึ้นมา 1 ครั้ง ก็จะมีโอกาสหายได้ก่อนคนที่ผื่นขึ้นเยอะทั้งตัว ซึ่งต้องทายาตลอดเวลา
วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังต้องพยายามบำรุงผิวให้แข็งแรง โรคนี้เกิดจากผิวหนัง คือ ผิวแห้งจะทำให้ไวต่อการกระตุ้น ไวต่อเหงื่อ อากาศร้อน และน้ำลาย (ในเด็กจะพบน้ำลายค่อนข้างมาก) พยายามจัดการเรื่องผิว อาบน้ำ ทาโลชันเป็นประจำ เมื่อมีผื่นแดง ๆ ขึ้นมา ก็ต้องรีบจัดการทายา และพยายามไม่ให้ติดเชื้ออยู่บ่อย ๆ
แนวทางป้องกันโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่สามารถพิสูจน์ได้คือ การกินนมแม่ให้นานที่สุด ส่วนเรื่องการทาโลชันตั้งแต่แรกเกิดจะมีประโยชน์มากในผู้ที่มีความเสี่ยงมาก เช่น เด็กที่เกิดจากคุณพ่อหรือคุณแม่ หรือว่ามีพี่น้องที่เป็นภูมิแพ้ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้
ในปัจจุบันโรคนี้มีการรักษาที่ดีขึ้นมาก ไม่ใช่แต่มีเพียงยาทา แต่มีการักษาได้หลากหลายเช่น ยากดภูมิ ยาฉีดชีวภาพ ซึ่งเป็นทางเลือกที่มีผลข้างเคียงน้อยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทำไมตอนเด็กไม่แพ้ แต่เพิ่งมาแพ้ตอนโต
อาจเป็นเพราะในตอนเด็กยังได้รับสิ่งกระตุ้นหรือตัวกระตุ้นที่มากระตุ้นไม่มากพอ อาการจึงยังไม่แสดงออกมาหรือแสดงออกมาน้อย แต่เมื่อโตขึ้น เมื่อร่างกายได้รับการกระตุ้นจากสิ่งกระตุ้นมากพอก็จะแสดงอาการออกมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตอนเด็กไม่มีอาการแพ้ แต่เมื่อโตขึ้นกลับมีอาการแพ้
นพ.วรุตม์ ทองใบ แพทย์ประจำสาขากุมารเวชโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ กล่าวว่าโรคภูมิแพ้ในเด็กบางอย่าง หากปล่อยไว้ อาการของภูมิแพ้อาจเป็นการรบกวนการใช้ชีวิต เช่น ภูมิแพ้จมูก ภูมิแพ้อากาศ ที่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ลมพิษขึ้นบ่อยๆ ภูมิแพ้ผิวหนังที่เป็นผิวแห้งๆ คันๆ ถ้าเป็นในเด็กเล็ก บางครั้งอาจทำให้เด็กนอนไม่ได้ ซึ่งจะเป็นการรบกวนชีวิตของเด็ก ในขณะที่การแพ้แบบรุนแรงจะมีอาการตั้งแต่ 2 ระบบขึ้นไป โดยอาการอาจรุนแรงและทำให้เสียชีวิตได้
เช็กโรคภูมิแพ้ที่สามารถหายขาดได้
การเกิดโรคภูมิแพ้เมื่อทำการรักษาแล้วจะมีทั้งโรคที่หายขาดได้ และไม่สามารถหายขาดได้
- โรคภูมิแพ้ที่หายขาดได้ : แพ้นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง แป้งสาลี ถั่วลิสง ลมพิษ ภูมิแพ้ผิวหนัง (ส่วนใหญ่หายได้) ภูมิแพ้จากแมลงสัตว์กัดต่อย (หายจากการทำภูมิคุ้มกันบำบัด) และโรคหืดที่เกิดขึ้นในเด็ก (ส่วนใหญ่หายได้)
- โรคภูมิแพ้ที่ไม่หายขาด : ภูมิแพ้จมูก ภูมิแพ้อากาศ แพ้ยา โรคหืดในผู้ใหญ่ และภูมิแพ้ผิวหนัง (ส่วนน้อยที่จะไม่หาย)
ทดสอบภูมิแพ้ง่ายๆ...ได้หลายวิธี
1. การทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวด้วยวิธีการสะกิด
แพทย์จะใช้การหยดน้ำยาที่เป็นชุดทดสอบลงไปบริเวณใต้ท้องแขนในเด็กโตและผู้ใหญ่ แต่หากเป็นเด็กเล็กมากจะทำบริเวณผิวหนังด้านหลัง จากนั้นจึงใช้อุปกรณ์สะกิด สะกิดบริเวณที่มีน้ำยา และรออ่านผลประมาณ 20 นาทีหลังจากสะกิด ข้อจำกัดของการทดสอบด้วยวิธีนี้คือผู้ป่วยจะต้องงดยาแก้แพ้ชนิดกินมาอย่างน้อย 7-10 วัน
2. การทดสอบภูมิแพ้ด้วยการตรวจเลือด
จะเป็นการตรวจหาแอนติบอดีชนิดแอนติบอดี E ที่จำเพาะกับสารก่อภูมิแพ้ที่เราสงสัยว่าทำให้เกิดอาการแพ้
3. การทดสอบภูมิแพ้ด้วยวิธีอื่นๆ
- การทดสอบด้วยการกิน เป็นการทดสอบในคนที่แพ้อาหารที่ก่อนหน้านี้ทำการทดสอบด้วยวิธีการสะกิดหรือตรวจเลือดแล้วยังได้ผลไม่ชัดเจน
- การทดสอบการแพ้ยา ด้วยวิธีการกินหรือการฉีด
- การทดสอบความไวของหลอดลมด้วยการออกกำลังกาย เช่น การเดินเร็วบนสายพาน เพื่อดูว่าขณะออกกำลังกายมีการกระตุ้นให้เกิดอาการหายใจหอบเหนื่อย หรือโรคหอบหืดกำเริบหรือไม่
ทั้งนี้ การทดสอบภูมิแพ้ควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากแพทย์จะเป็นผู้ให้ทางเลือกในการทดสอบว่าควรทดสอบอย่างไร และควบคุมการทดสอบอย่างใกล้ชิด
รักษาโรคภูมิแพ้ต้องทำอย่างไร
- กำจัดสิ่งกระตุ้นที่จะก่อให้เกิดอาการแพ้ หากทราบว่ามีอาการแพ้ต่อสิ่งกระตุ้นใด ควรทำการกำจัด หรือหลีกเลี่ยงกับการสัมผัสตัวกระตุ้นนั้นๆ
- การใช้ยารักษา เช่น ยาแก้แพ้ชนิดกินประเภทต่างๆ ยาพ่นจมูกสเตียรอยด์ ยาทาสเตียรอยด์ หรือการใช้สารชีวโมเลกุลที่เป็นยากลุ่มใหม่มาใช้ในการรักษา
- การรักษาด้วยวิธีภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เป็นการนำเอาสิ่งที่ผู้ป่วยแพ้กลับเข้าไปในร่างกายทีละนิด เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ สร้างภูมิคุ้มกันต่อสิ่งกระตุ้นนั้นขึ้นมา ในปัจจุบันมีทั้งวิธีการฉีด การอมใต้ลิ้น และการกิน
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เช่น ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
ทั้งนี้ หากพบว่าลูกน้อยมีอาการที่สงสัยว่าน่าจะเป็นเรื่องของภูมิแพ้ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุให้แน่ชัด และทำการรักษาอย่างถูกวิธี เพราะหากเกิดอาการแพ้รุนแรง การปล่อยไว้จะทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้
อ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลนิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama ,โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ