‘โรคภูมิแพ้’ รุนแรงขึ้น เพราะ ‘โลกร้อน’ มีคนป่วยเพิ่ม-อาการแย่ลง

‘โรคภูมิแพ้’ รุนแรงขึ้น เพราะ ‘โลกร้อน’ มีคนป่วยเพิ่ม-อาการแย่ลง

“โรคภูมิแพ้” รุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ทำให้ละอองเกสรมีมากขึ้น ออกดอกนานกว่าเดิม

KEY

POINTS

  • “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ทำให้ละอองเกสรมีมากขึ้น ออกดอกนานกว่าเดิม ส่งผลให้ “โรคภูมิแพ้” รุนแรงมากขึ้น
  • ผู้คนจำนวนมากอาการภูมิแพ้แย่ลง จนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ส่วนคนที่ไม่เคยเป็นภูมิแพ้ ก็เริ่มมีอาการ
  • ส่งผลให้เศรษฐกิจสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ทุกปี จากการสูญเสียวันทำงานเพื่อการไปพบแพทย์ และพักรักษาตัว รวมถึงจ่ายยารักษาโรค

มูลนิธิโรคหอบหืดและโรคภูมิแพ้แห่งอเมริกา (AAFA) คาดการณ์ว่าปี 2025 จะเป็นอีกปีที่เลวร้ายสำหรับคนเป็น “โรคภูมิแพ้” เนื่องจาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ตามข้อมูลระบุว่า ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเกือบ 33% และเด็ก 25% ป่วยเป็น ภูมิแพ้ โดยทางใต้ของสหรัฐเป็นพื้นที่ที่โรคภูมิแพ้ตามฤดูกาลรุนแรงมากที่สุด 

อาการตาแดงและน้ำมูกไหลจาก “ภูมิแพ้เกสรดอกไม้” เกิดขึ้นเกือบตลอดทั้งปีในบางพื้นที่ของสหรัฐ เพราะ “ภาวะโลกร้อน” โดย ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศและอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นกระตุ้นให้พืชผลิตเกสรดอกไม้มากขึ้น ส่งผลให้ดอกไม้ออกดอกเร็วขึ้น ละอองเกสรความเข้มข้นมากขึ้น และอยู่ได้นานขึ้นทุกปี ในปัจจุบันดอกไม้ออกดอกเร็วขึ้นกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วถึง 20 วัน

“หลายคนที่ไม่เคยเป็นภูมิแพ้มาก่อนก็เป็นภูมิแพ้มากขึ้น บางคนที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้วก็มีอาการรุนแรงกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะปริมาณการแพ้เพิ่มขึ้นมากเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ” เคนเนธ เมนเดซ ซีอีโอของ AAFA กล่าว 

อาการแพ้ละอองเกสรส่วนใหญ่มักจะถูกมองว่าน่ารำคาญมากกว่าอันตราย แต่เมื่อจำนวนละอองเรณูเพิ่มขึ้น คนที่จมูกไวจะยิ่งได้รับผลกระทบ แม้ว่าจะอยู่ในบ้านแล้วแต่ละเกสรดอกไม้ขนาดเล็กก็ยังสามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาทางประตู หน้าต่าง ช่องระบายอากาศ ขอบหน้าต่าง เสื้อผ้า และขนสัตว์ได้

นอกจากนี้ ยังมีผู้คนจำนวนมากอาการภูมิแพ้แย่ลง จนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น อาการหอบหืดกำเริบ หายใจมีเสียงหวีด แน่นหน้าอก และหายใจถี่ ในบางเคสสารก่อภูมิแพ้อาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อร่างกายทั้งหมด ทำให้ทางเดินหายใจบวมปิดลงและความดันโลหิตลดลงจนถึงระดับต่ำที่เป็นอันตราย รวมทั้งทำให้โรคอื่น ๆ ที่เป็นอยู่แล้วแย่ลงได้ 

การได้รับละอองเรณูอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจทำให้คนที่ไม่เคยเป็นภูมิแพ้ หรือมีอาการภูมิแพ้ไม่มากมีอาการรุนแรงขึ้นก็ได้ ละอองเรณูมีขนาดตั้งแต่ 100 ไมครอนไปจนถึงน้อยกว่า 10 ไมครอน สามารถแทรกซึมลึกเข้าไปในปอดและระคายเคืองทางเดินหายใจได้

จากการศึกษาพบว่า อาการแพ้ละอองเกสรดอกไม้ทำให้มีผู้ป่วยชาวอเมริกันต้องเข้าห้องฉุกเฉินปีละ 25,000-50,000 ครั้ง โดยสองในสามเป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี 

ในขณะเดียวกัน โรคหอบหืด เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือ ไข้ละอองฟาง (Hay Fever) และโรคภูมิแพ้อื่น ๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ทุกปี จากการสูญเสียวันทำงานเพื่อการไปพบแพทย์ และพักรักษาตัว รวมถึงจ่ายยารักษาโรค

 

ภาวะโลกร้อนทำให้เกสรมีมากขึ้น

เกสรของพืชหลายชนิดเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการสืบพันธุ์ โดยทั่วไป ต้นไม้จะปล่อยละอองเรณูในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนหญ้าจะปล่อยในช่วงฤดูร้อน และหญ้าแร็กวีดจะปล่อยในฤดูใบไม้ร่วง แต่รูปแบบการปล่อยละอองเกสรกำลังเปลี่ยนไป

ปัจจุบันต้นไม้ออกดอกเร็วขึ้น ขณะที่หญ้าบางชนิดปล่อยละอองเรณูล่าช้าเกือบหนึ่งเดือน แต่กินระยะเวลานานขึ้น ทำให้ในบางช่วงของปีจะมีทั้งเกสรของดอกหญ้าและหญ้าแร็กวีดปะปนกันประมาณ 3 สัปดาห์ตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา

ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจาก “การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล” ไม่ว่าจะเป็นการเผาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ทำให้ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงขึ้น เมื่อมีคาร์บอนมากขึ้น พืชก็เติบโตได้เร็วขึ้น และผลิตดอกไม้มากขึ้น ทำให้มีละอองเรณูมากขึ้น ละอองเรณูที่มากขึ้นทำให้มีเมล็ดมากขึ้น ในปีต่อ ๆ ไปก็จะยิ่งมีละอองเรณูมากกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้นในชั้นบรรยากาศยังทำให้โลกร้อนขึ้นและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปแล้ว หมายความว่าฤดูหนาวที่อบอุ่นขึ้น สั้นลง เข้าฤดูใบไม้ผลิเร็วขึ้น ทำให้พืชเติบโตยาวนานขึ้น แนวโน้มเหล่านี้จะดำเนินต่อไปเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้น และเกิดอาการแพ้มากขึ้นกว่าเดิม นักวิจัยพบว่า รัฐเท็กซัสจะจำนวนละอองเรณูจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับปี 2000

ไม่ใช่แค่ละอองเรณูเท่านั้นที่น่ากังวล มลพิษทางอากาศจากโอโซน กำมะถัน สารประกอบไนโตรเจน และ ฝุ่น PM2.5 จากถนนและควันไฟป่า ก็ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ยิ่งทำให้เกิดอาการแย่ลงได้ 

พื้นที่เขตเมืองยังมีแนวโน้มที่จะร้อนขึ้นเร็วกว่าพื้นที่ชนบท และมีมลพิษทางอากาศเข้มข้นขึ้นอีก ส่งผลให้เกิดอาการแพ้มากขึ้น ซึ่งส่วนมากอาการมักจะแย่ลงในชุมชนแออัดที่มีรายได้น้อยและขาดการบริการทางสาธารณสุข

ละอองเกสรดอกไม้ไม่ใช่สารก่อภูมิแพ้ชนิดเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนในบางพื้นที่ทำให้จำนวนและระยะเวลาของสปอร์เชื้อราก่อภูมิแพ้เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า มีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด แต่จอห์น คาร์ลสัน หัวหน้าแผนกโรคภูมิแพ้เสี่ยงสูงของระบบบริการสุขภาพ Ochsner กล่าวว่า สหรัฐอาจกำลังเข้าใกล้จุดคงที่ของจำนวนผู้ที่ไวต่อละอองเกสร แต่ยังมีโรคอื่น ๆ ที่อาจแสดงอาการคล้ายภูมิแพ้ และหากเกสรมีความเข้มข้นสูงเพียงพอ แม้แต่คนที่ไม่มีอาการแพ้ก็อาจหายใจมีเสียงหวีดได้

ข่าวดีก็คือ ยังพอมีวิธีรับมือกับภูมิแพ้อยู่บ้าง สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วสามารถการกินยาแก้แพ้ ใช้สเปรย์พ่นจมูก และพบแพทย์หากมีอาการรุนแรงขึ้น หรือต้องการฉีดวัคซีน  สำหรับผู้ที่ไม่ทราบว่าตนเองมีอาการแพ้ แต่เริ่มมีอาการระคายเคืองตาและทางเดินหายใจควรพบแพทย์ 

เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเกสรและมลพิษทางอากาศ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่นอกบ้านและปิดประตูและหน้าต่างในช่วงเวลาที่มีละอองเกสรจำนวนมาก โดยเฉพาะในตอนเช้า ควรถอดเสื้อผ้าและรองเท้าไว้ข้างนอก รวมถึงทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงเมื่อพาออกไปเดินเล่นนอกบ้าง และใช้เครื่องฟอกอากาศ

 

ที่มา: The Weather ChannelVoxWired