ห่างไกล 'โรคภูมิแพ้' บ้านสะอาด ปลอดฝุ่น ลดสารก่อภูมิแพ้

สถานการณ์ฝุ่นPM2.5 ไม่ใช่รุนแรงเฉพาะนอกบ้านเท่านั้น แต่ในบ้านก็มีการเผชิญกับฝุ่นควัน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ และทุกคนก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้จากสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านของตนเองได้
KEY
POINTS
- บริเวณที่มีสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน ได้แก่ ที่นอน หมอน ม่าน ,อากาศต้องถ่ายเท,เฟอร์นิเจอร์,ของแต่บ้าน ของเล่น,ขนแมว ขนสุนัข,ขนสุนัข, พื้นที่ที่เปียกชื้น และต้นไม้ที่ปลูกในบ้าน
- เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลบ้านให้เหมาะสม โอกาสที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ก็อาจลดลงตามไปด้วย
- สุขอนามัยในชีวิตประจำวันต้องสะอาด จะทำให้ห่างไกลจากการเกิดโรคร้ายที่เกิดจากการติดเชื้อหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ
สถานการณ์ฝุ่นPM2.5 ไม่ใช่รุนแรงเฉพาะนอกบ้านเท่านั้น แต่ในบ้านก็มีการเผชิญกับฝุ่นควัน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ และทุกคนก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้จากสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านของตนเองได้
เพราะภายในบ้านสามารถเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรค ฝุ่นละออง ละอองเกสร หรือเชื้อแบคทีเรียได้เช่นกัน ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้องดูแลทำความสะอาดบ้านให้สะอาด เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ของทุกคนในบ้าน
สถิติของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทยแล้วจะพบว่า ในปัจจุบันเด็กไทยเป็นโรคภูมิแพ้มากถึงร้อยละ 38 ส่วนในผู้ใหญ่ก็เป็นโรคภูมิแพ้ถึงร้อยละ 20 และเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขเมื่อ 10 ปีก่อน คนไทยเป็นโรคภูมิแพ้สูงขึ้นเกือบเท่าเลยทีเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
PM 2.5 กรุงเทพฝุ่นเยอะสะสม ค่าฝุ่นวันนี้ สูงเกิน หายใจไม่เต็มปอด
บริเวณที่มักมีสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน
สาเหตุใหญ่ของการเป็นโรคภูมิแพ้ คือการถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่สิ่งแวดล้อมและสารก่อภูมิแพ้ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะไรฝุ่นหรือฝุ่นละอองในบ้าน การทำความสะอาดและจัดบ้านให้ถูกสุขลักษณะจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสเกิดภูมิแพ้ แต่จะจัดบ้านอย่างไรให้ห่างไกลโรคภูมิแพ้นั้น มีข้อแนะนำดังนี้
- ที่นอน หมอน ม่าน อย่าให้ฝุ่นจับ
เครื่องนอน หมอน ผ้าห่ม เป็นแหล่งสะสมแบคทีเรีย เชื้อโรค เหงื่อ และเซลล์ผิวหนังที่หลุดล่วง ทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี จึงควรดูแลให้สะอาดปราศจากฝุ่นอยู่เสมอ ควรซักด้วยเครื่องซักผ้าโดยเลือกโหมดน้ำร้อน เลือกใช้พรมผืนเล็กหรือชนิดที่สามารถนำเข้าเครื่องซักผ้าได้
รวมถึงผ้าม่านที่ควรซักหรือทำความสะอาดบ่อยๆ ของบางอย่างที่ซักยากหรือซักไม่ได้ เช่น หมอนหรือฝูก ควรผึ่งแดดเดือน 1-2 ครั้ง หรือเปิดประตูหน้าต่างให้แสงแดดส่องถึง อาจใช้เครื่องดูดฝุ่นและน้ำยาทำความสะอาดที่ผลิตจากสารธรรมชาติเป็นตัวช่วย และอย่าลืมพลิกฝูกด้านล่างมาทำความสะอาดด้วย
- อากาศต้องสะอาดและถ่ายเท
หากที่บ้านมีเครื่องปรับอากาศ การให้ช่างมาล้างปีละ 1-2 ครั้งนั้นคงไม่เพียงพอ สิ่งที่เราทำเองได้และควรทำเป็นประจำเดือนละ 1-2 ครั้งคือการล้างแผ่นกรองอากาศหรือแผ่นกรองฝุ่น (ฟิลเตอร์) ส่วนพัดลมที่มักมีฝุ่นเกาะตรงตะแกรงและใบพัดก็ควรล้างบ่อยๆ
หากยังรู้สึกว่าเช็ดล้างเท่าไหร่ฝุ่นก็ยังเยอะ อาจต้องพึ่งเครื่องฟอกอากาศช่วยดักฝุ่นหรือใช้เครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามควรเปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทบ้าง ถ้ากลัวฝุ่นเข้าบ้าน ให้เลือกเปิดในตอนเช้าตรู่หรือหลังฝนหยุดตกใหม่ๆ เพราะอากาศจะสะอาดและมีฝุ่นละอองน้อยกว่าเวลาอื่น
- เฟอร์นิเจอร์ไร้สารพิษ ตู้มีบานเปิด-ปิดได้
เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบไม่มีขา เพราะการแนบสนิทกับพื้นจะช่วยลดปัญหาฝุ่นสะสมได้ สำหรับเฟอร์ฯ แบบขาลอยควรมีขาสูงพอให้อุปกรณ์ดูดฝุ่นหรือไม้ม็อบยื่นเข้าไปทำความสะอาดใต้เฟอร์ฯ ได้ ตู้เก็บของหรือตู้โชว์ควรเป็นแบบที่มีบานปิด ใช้โซฟาผ้าแบบที่ถอดซักได้หรืออาจใช้แบบหนังซึ่งเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
ก่อนซื้อเฟอร์นิเจอร์ควรดูว่าวัสดุและขั้นตอนการผลิตมีสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้หรือไม่ เลือกแบบที่ปราศจากสารฟอร์มัลดิไฮด์ก็จะช่วยลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับระบบหายใจได้ การบ้านอย่าให้มีซอกมุมที่ทำความสะอาดยากจนกลายเป็นจุดสะสมฝุ่น
- ของแต่งบ้าน ของเล่น ของสะสมมักอมฝุ่น
เรามักจะมองข้าม ของเล่น ตุ๊กตา ของสะสม ของแต่งบ้าน ไม่เว้นแม้แต่วอลเปเปอร์และกรอบรูปติดผนัง รวมถึงกองหนังสือ ของพวกนี้มักถูกวางหรือติดไว้เฉยๆ จนลืมทำความสะอาด เราจึงควรนำทุกอย่างที่ไม่ได้ใช้เก็บใส่ถุงพลาสติกวางไว้ในตู้
ส่วนของเล่นลูกเมื่อเล่นเสร็จก็ควรเก็บเข้ากล่องที่มีฝาปิดมิดชิด หมั่นเช็ดวอลเปเปอร์ กรอบรูป กระจกติดผนังให้ปราศจากฝุ่น นอกจากจะลดโอกาสเกิดภูมิแพ้แล้ว ยังทำให้บ้านดูสะอาดเรียบร้อยอีกด้วย
- แพ้ขนแมว ขนสุนัข ขนสัตว์ ต้องจัดที่ให้อยู่เฉพาะ
สัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข แมว กระต่าย รวมไปถึงสัตว์ไม่ได้เลี้ยงอย่างแมลงสาบก็นำพาโรคภูมิแพ้มาให้คนในบ้านได้ ยิ่งถ้ามีเด็กๆ อยู่ด้วยก็ไม่ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงวิ่งเล่นไปทั่วหรือขึ้นมาคลุกวนในกับคุณบนโซฟาหรือบนที่นอน จริงๆ
การแพ้ขนสัตว์ส่วนใหญ่เกิดจากการแพ้น้ำลายของสัตว์ที่พวกมันเลียตัวเองและติดอยู่ที่ขน รวมถึงไรตัวเล็กๆ บนตัวมันที่มาถูกตัวเด็ก เราจึงควรอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงบ่อยๆ ส่วนปัญหาการแพ้แมลงสาบ ก็แค่เก็บเศษอาหารห่อให้มิดชิดแล้วนำไปทิ้งถังขยะที่มีฝาปิด และทำให้ครัวสะอาดอยู่เสมอ
- พื้นที่ที่เปียกชื้น
บริเวณภายในบ้านที่ต้องสัมผัสกับน้ำอยู่บ่อยๆ เช่น ห้องน้ำ ลานซักผ้า ใต้อ่างล้านจาน มักจะเป็นแหล่งรวมความเปียกชื้นจากอากาศ หรือจากกิจกรรมภายในบ้าน เช่น ล้างจาน รดน้ำต้นไม้ ซักผ้า จนทำให้เชื้อโรค และแบคทีเรียที่เกิดจากความเปียกชื้นมาจับตัวจนกลายเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้
- ต้นไม้ที่ปลูกไว้ในบ้าน
การวางต้นไม้บางชนิดไว้สำหรับตกแต่งภายในบ้าน คุณอาจไม่ทราบว่านั่นอาจเป็นการเพิ่มพื้นที่ให้กับฝุ่นในบ้าน และยังอาจรวมไปถึงแมลงบางชนิดที่สามารถกัดต่อยจนทำให้เกิดอาการแพ้ตามมาได้
วิธีดูแลบ้านเพื่อป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในร่างกาย
1. ดูดฝุ่น 2 ครั้งต่อสัปดาห์
- ดูดฝุ่นอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านได้ ทางที่ดี คุณควรเลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ไม้กวาดเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
- นอกจากนี้ในระหว่างที่ดูดฝุ่นควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายรับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปด้วย
2. ควบคุมแหล่งไรฝุ่น
- วิธีนี้สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการตกแต่งบ้านให้มีพรมที่พื้น หรือผ้าม่านน้อยที่สุด หรือหากมีการติดตั้งพรมก็ให้เลือกวัสดุที่ฝุ่นไม่ติดง่ายและง่ายต่อการถอดออกมาทำความสะอาด โดยควรทำความสะอาดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
- นอกจากนี้โซฟา หรือเก้าอี้ ที่ทำจากเบาะนวมหุ้มด้วยผ้า ยังเป็นอีกแหล่งรวมของสารก่อภูมิแพ้ คุณควรหลีกเลี่ยงโซฟาที่หุ้มด้วยผ้าซึ่งยากต่อการทำความสะอาด
- ภายในห้องนอนของคุณก็เป็นอีกบริเวณที่มักเต็มไปด้วยไรฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ คุณควรถอดปลอกหมอนออกมาซักทุกสัปดาห์ หลังจากตื่นนอนทุกวันให้หาผ้าพลาสติก หรือผ้าคลุมมาคลุมเตียง เพื่อป้องกันไรฝุ่นด้วย
- ส่วนปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนที่จะนำไปซัก ให้คุณซักในน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 130 องศาฟาเรนไฮต์ และอบแห้งด้วยความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรคอีกครั้ง
3. ทำความสะอาดร่างกายของสัตว์เลี้ยง
- สัตว์เลี้ยงคือ อีกพาหะนำเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้มาสู่ตัวคุณ ทั้งยังอาจทำให้บ้านของคุณสกปรกมากขึ้นกว่าเดิม คุณจึงจำเป็นต้องทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงบ้าง แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อความปลอดภัย ความสะอาด และสุขภาพสัตว์เลี้ยงของคุณเอง
- นอกจากทำความสะอาดร่างกายสัตว์เลี้ยงแล้ว คุณยังต้องแบ่งพื้นที่ของบ้านว่า ส่วนใดของบ้านที่สัตว์เลี้ยงห้ามเข้าไป เพื่อป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้เข้าไปรวมตัวอยู่บริเวณนั้น โดยเฉพาะห้องนอนและห้องน้ำ
4. ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย
- ประตูและหน้าต่างคือ ทางเข้า-ออกหลักของสารก่อภูมิแพ้ซึ่งกระจายตัวอยู่ในอากาศ ดังนั้นควรติดตั้งมุ้งลวดกันฝุ่น หากต้องการเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
- หรือหากไม่อยู่บ้านก็ควรปิดประตูและช่องทางลมในบ้านให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้ เชื้อโรค หรือแมลงที่กัดต่อยได้บินเข้ามาในบ้าน
- อย่างไรก็ตาม ควรถอดหน้าต่างมุ้งลวดออกมาทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้และสิ่งสกปรกสะสมอยู่ที่มุ้งลวด
5. ตัดต้นไม้และวัชพืชที่อาจทำให้แพ้
- ละอองเกสรดอกไม้และวัชพืชบางชนิดเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกัน คุณจึงต้องกำจัดพืชและต้นไม้บางชนิดออกไปจากบริเวณบ้าน เพื่อลดจำนวนเกสรและละอองฝุ่นที่พัดผ่านวัชพืชเหล่านั้นเข้ามาในบ้านจนทำให้เกิดอาการแพ้
6. ระวังไม่ให้เกิดความชื้นมากเกินไป
ความชื้นในอากาศจะทำให้เกิดเชื้อรา คุณต้องระมัดระวังไม่ให้บริเวณที่เปียกชื้น หรืออับทึบภายในบ้าน กลายเป็นแหล่งเพาะสารก่อภูมิแพ้ โดยให้สังเกตบริเวณของบ้านที่มักเปียกน้ำ หรือชื้น และหมั่นทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับในการกำจัดความชื้นภายในบ้านอื่นๆ อีก เช่น
- อย่าเปิดฝักบัวทิ้งไว้นานก่อนอาบน้ำ
- ใช้พัดลมระบายอากาศเพื่อดูดความชื้นอยู่เสมอ
- จำกัดและคัดเลือกพืชที่จะปลูกในบ้าน
- ปิดรูน้ำ หรือรูรั่วที่ทำให้เปียกชื้นบริเวณต่างๆ ให้เรียบร้อย
7. กำจัดแมลงภายในบ้านของคุณ
แมลงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยอาจมาจากการถูกกัดต่อย สัมผัสตัว หรือมูล ทางที่ดีควรมีการกำจัดแมลงไม่ให้เข้ามาในบริเวณบ้านได้ และระมัดระวังอย่าให้บ้านเป็นแหล่งรวมของแมลงที่เป็นพาหะนำสารก่อภูมิแพ้ เช่น
- แมลงสาบ
- แมลงวัน
- ยุง
- ตัวต่อ
- ผึ้ง
- แตน
8. ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้สะอาด
- ควรตากเสื้อผ้าด้วยแดดจัดๆ เพราะนี่คือ วิธีกำจัดเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ได้อีกวิธีหนึ่ง
- แต่ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังฝุ่นละอองที่อาจพัดมาติดที่ผ้าด้วย ทางที่ดีหากนอกบ้านมีฝุ่น หรือสารก่อภูมิแพ้มาก ให้เปลี่ยนไปใช้วิธีอบผ้าแห้งแทนจะดีกว่า
- หากเพิ่งกลับมาจากข้างนอกและเพิ่งจะเผชิญกับฝุ่นควัน เชื้อโรค หรือสารก่อภูมิแพ้ที่อาจทำให้คนในบ้านเกิดอาการแพ้ได้ ให้แยกเสื้อผ้าที่สวมใส่ไว้อีกตะกร้าหนึ่ง ซักแยกต่างหากเพื่อป้องกันการปะปนกันของเชื้อโรค
9. เลือกเครื่องเรือนที่ป้องกันไรฝุ่น
หากคุณเลือกเครื่องนอน หรือเครื่องเรือนที่ฝุ่นจับง่าย โอกาสเกิดอาการแพ้ก็จะสูงตามไปด้วย จึงควรเลือกเครื่องนอนที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้
- มีรูอากาศขนาดเล็ก เพราะไรฝุ่นมีขนาดประมาณ 100-400 ไมครอน (1 มิลลิเมตร = 1,000 ไมครอน) ส่วนมูลและไข่ของมันจะมีขนาดประมาณ 10-30 ไมครอน ดังนั้นเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องว่างในเนื้อผ้าจึงควรเล็กกว่า 10 ไมครอน จึงจะป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นผ่านเข้าไปได้ รวมถึงมูลและไข่ของมันด้วย
- เลือกซื้อเครื่องนอนที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี เครื่องนอนบางประเภทจะผสมสารเคมีเพื่อขับไล่ไรฝุ่นไว้ และมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จำนวนไม่น้อยที่แพ้สารเหล่านี้ จึงควรปรึกษาแพทย์และสอบถามส่วนผสมของสารเคมีก่อนซื้อ แต่โดยปกติหากคุณนำเครื่องนอนไปซัก สารเคมีที่ผสมอยู่ก็จะหายไปเอง แต่ประสิทธิภาพในการขับไล่ไรฝุ่นก็จะลดลงตามไปด้วย
- เลือกซื้อเครื่องนอนชนิดที่ระบายอากาศได้ดี เพราะเครื่องนอนที่ระบายความร้อนไม่ดีจะทำให้ผู้ใช้งานอึดอัด รู้สึกร้อน และส่งผลกระทบต่อการนอนหลับได้
- เลือกซื้อเครื่องเรือนที่ไม่เป็นแหล่งทีอยู่ของไรฝุ่น เช่น เครื่องเรือนที่ทำจากไม้ เครื่องหนัง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรหมั่นทำซักทำความสะอาด หรือนำส่วนที่เป็นผ้าออกตากแดด
- การควบคุมความชื้นในบ้าน เนื่องจากไรฝุ่นจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ไหกความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำกว่า 50% และที่อุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียส ดังนั้นหากมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 45% โอกาสที่ไรฝุ่นจะอยู่รอดได้ก็มีปริมาณค่อนข้างต่ำ
10. ทำความสะอาดรถ
- ควรดูดฝุ่นทำความสะอาดรถยนต์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะรถเป็นอีกแห่งที่สารก่อภูมิแพ้สามารถพัดเข้ามารวมตัวกันอยู่ได้ เวลาที่คุณเปิด-ปิด ประตูรถ
- อีกทั้งรถยังมักถูกจอดไว้ในที่อับชื้นจนข้างในมีอุณหภูมิอบอ้าว และกลายเป็นแหล่งรวมของเชื้อราในภายหลังได้
- ไม่ควรใช้ผ้าคลุมตัวเบาะรองนั่งเพราะจะทำให้มีฝุ่นมาจับ สะสม และหมั่นทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศภายในรถอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น อากาศที่สูดเข้าไปขณะอยู่ในรถจะได้ปราศจากสารก่อภูมิแพ้
- การกำจัดสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านและรถยนต์อาจเป็นเรื่องยากเย็นเสียหน่อย หากคุณไม่ใช่คนที่จะลุกขึ้นมาดูแลทำความสะอาดบ้านและรถบ่อยๆ แต่ลองสำรวจและปรับเปลี่ยนวิธีดูแลบ้านและรถสักครั้ง บางทีสุขภาพ หรืออาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่อาจจะดีขึ้นก็ได้
การกำจัดสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน
ภูมิแพ้หรืออาการแพ้ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของแต่ละบุคคลที่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในธรรมชาติ ส่งผลให้มีอาการแตกต่างกัน เช่น ไอ จาม คันตา คัดจมูก หรือเป็นผื่น
ปัจจุบันพบโรคภูมิแพ้ของระบบการหายใจเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากวิถีชีวิตเปลี่ยนไป ประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ความเป็นอยู่แออัด รวมถึงบ้านเรือนมีเพดานเตี้ย ไม่มีอากาศถ่ายเทจึงจำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ภายในห้องนอนนิยมปูพรม ซึ่งเป็นที่อยู่ของไรฝุ่น
นอกจากนี้ยังมักเลี้ยงสุนัขและแมวในบ้าน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสารก่อภูมิแพ้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว ยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการแพ้มากขึ้น
วิธีกำจัดสารก่อภูมิแพ้
1. ทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ รู้กันดีว่าตัวไรฝุ่นภายในบ้าน เป็นสารก่อภูมิแพ้ตัวฉกาจ ดังนั้นการหมั่นทำความสะอาดบ้านด้วยการดูดฝุ่น เช็ดถูบ้านให้สะอาด จะช่วยลดฝุ่นภายในบ้านได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้รวมถึงการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ พรม ม่านฤ และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านด้วย
2. จัดบ้านให้โล่ง โปร่ง พยายามลดปริมาณสิ่งของหรือหนังสือที่มีมากเกินความจำเป็น ควรจัดเก็บสิ่งของต่างๆ ไว้ในตู้ที่ปิดมิดชิด เพื่อลดแหล่งสะสมของฝุ่นละออง
3. ดูแลห้องนอนและอุปกรณ์การนอน โดยการซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ด้วยอุณหภูมิสูง ตากแดดจัดๆ ในที่มีลมโกรก หรืออาจใช้พวกผ้าหรือปลอกหมอน ปลอกหมอข้างกันไรฝุ่นโดยเฉพาะ ในการปูหรือคลุมเครื่องนอน
4. ทำห้องน้ำให้แห้งเสมอ เนื่องจากเชื้อราเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณชื้นแฉะ นอกจากทำความสะอาดพื้นห้องน้ำและสุขภัณฑ์ให้สะอาดและแห้งเสมอแล้ว อย่าลืมทำความสะอาดผ้าม่านและฝักบัวด้วย
5. เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ปลอดภัย โดยเลือกชนิดที่ทำมาจากธรรมชาติ หรือมีส่วนผสมของสารเคมีให้น้อยที่สุด
6. สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะทำความสะอาดบ้าน ปัดฝุ่น หรือล้างห้องน้ำ เพื่อป้องกันสารก่อภูมิแพ้
แม้อาการภูมิแพ้จะดูเหมือนโรคเรื้อรัง และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยตัวเอง โดยการลุกขึ้นกำจัดสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน เพื่อทำให้อยู่บ้านอย่างมีความสุขกับคนในครอบครัวทุกๆ วัน
อ้างอิง :โรงพยาบาลพญาไท ,โรงพยาบาลสมิติเวช,hdmall







