เปิดฉาก COP30 ที่บราซิล สรุปวาระโลก จุดยืนไทย และ 5 ความคาดหวังที่ต้องจับตา

การประชุม COP30 ที่บราซิล เป็นเวทีสำคัญในวาระครบรอบ 10 ปีความตกลงปารีส โดยทุกประเทศต้องส่งแผนลดก๊าซเรือนกระจก (NDCs) ฉบับใหม่ที่เข้มข้นขึ้น
KEY
POINTS
- การประชุม COP30 ที่บราซิล เป็นเวทีสำคัญในวาระครบรอบ 10 ปีความตกลงปารีส โดยทุกประเทศต้องส่งแผนลดก๊าซเรือนกระจก (NDCs) ฉบับใหม่ที่เข้มข้นขึ้น
- ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาคือ การผลักดันเป้าหมายการปรับตัวสู่การปฏิบัติจริง (GGA), การจัดทำแผนการเงินภูมิอากาศ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ และการเริ่มดำเนินงานของกองทุนความสูญเสีย และความเสียหาย (Loss and Damage)
- จุดยืนของไทยคือ การเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050, ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 47% ภายในปี 2030 และมุ่งขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศโลก
การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 30 หรือ COP30 เปิดฉากขึ้นแล้วที่เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2025 ท่ามกลางบรรยากาศเข้มข้นที่ทั่วโลกจับตาในฐานะ “COP แห่งการลงมือทำจริง” หลังจากคำมั่นสัญญาที่ถูกกล่าวไว้ในทศวรรษที่ผ่านมาเริ่มถึงเวลาต้องพิสูจน์
นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่การประชุม COP จัดขึ้นในเขตแอมะซอน ปอดของโลกที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากการตัดไม้ การทำลายป่า และผลกระทบจากวิกฤติโลกร้อน ซึ่งทำให้ปีนี้มีความหมายทางสัญลักษณ์ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ
ปีนี้นับเป็นครบรอบ 10 ปีของ "ข้อตกลงปารีส" (Paris Agreement) ซึ่งกำหนดเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C ดังนั้น COP30 จึงกลายเป็นเวทีสำคัญที่แต่ละประเทศต้องเปิดเผยแผนภูมิอากาศฉบับใหม่ (NDCs) เพื่อสะท้อนความคืบหน้าที่แท้จริง และทบทวนว่าทั่วโลกกำลังเดินหน้าได้เร็วพอหรือไม่
6 เสาหลัก Action Agenda
ภายใต้สโลแกน “Global Mutirão “การร่วมแรงร่วมใจ” หรือ “ความพยายามร่วมกันของผู้คน” ทำให้การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการบูรณาการพลังจาก รัฐบาล ภาคธุรกิจ ชุมชน และประชาชน ให้ขับเคลื่อนสังคมโลกสู่การเปลี่ยนผ่านสีเขียวอย่างแท้จริง ผ่าน 6 เสาหลักของ Action Agenda ดังนี้
- เปลี่ยนผ่านพลังงาน อุตสาหกรรม และการขนส่ง สู่ระบบพลังงานสะอาด
- ปกป้องป่า มหาสมุทร และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้คงอยู่เป็นสมดุลธรรมชาติ
- ปรับระบบเกษตร และอาหารให้ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซมีเทน และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างความยืดหยุ่นให้เมือง โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรน้ำ เพื่อรับมือภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว
- พัฒนามนุษย์ และสังคม สร้างงานสีเขียว เพิ่มความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ
- บูรณาการข้ามสาขา เชื่อมโยงการเงิน เทคโนโลยี และขีดความสามารถสู่การเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน
5 ประเด็นร้อนต้องจับตาใน COP30
COP30 ไม่ได้เป็นเพียงเวทีเจรจาเชิงนโยบาย แต่ยังเป็น “สนามประลองทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์สีเขียว” ที่จะชี้อนาคตของการจัดสรรทรัพยากร และความรับผิดชอบของประเทศทั่วโลก
1. เส้นตาย NDCs ใหม่ ของทุกประเทศ
ตามกรอบความตกลงปารีส ทุกประเทศต้องปรับปรุงแผนภูมิอากาศของตนให้มีความทะเยอทะยานมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่า “กลไกเพิ่มระดับความทะเยอทะยาน (ratchet-up mechanism)” ซึ่งปี 2025 เป็นเส้นตายสำหรับการส่งแผนรอบใหม่ที่เรียกว่า Nationally Determined Contributions (NDCs)
แม้ในการประชุมสุดยอดภูมิอากาศของสหประชาชาติปี 2020 จะมีประเทศเกือบ 100 แห่ง (คิดเป็นสองในสามของการปล่อยก๊าซทั่วโลก) ให้คำมั่นจะปรับปรุง NDCs ให้เข้มข้นขึ้น แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องทำตาม
COP30 จึงต้องเป็น “จุดรวมพลังสุดท้าย” เพื่อผลักดันให้ทุกประเทศส่งแผนที่ครอบคลุมทั้งระบบเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่รวมถึง แผนการปรับตัว การเงินภูมิอากาศ และการจัดการความสูญเสีย และความเสียหาย (Loss & Damage)
หากแผน NDCs ที่ส่งมายังไม่ทะเยอทะยานพอ การประชุมจะต้องเห็นพ้องกลไกติดตามหลัง COP 30 เพื่ออุดช่องว่างด้านความทะเยอทะยานระดับโลก และรักษากลไก ratchet-up ให้ทำงานได้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- นับถอยหลังสู่ COP30 บราซิล จับตา 6 วาระใหญ่ 30 เป้าหมายฟื้นโลกจากวิกฤติ
- ผู้นำอเมริกาถอยห่าง COP30 สวนทางจีน–ยุโรป–อินเดีย ผงาดบนเวทีภูมิอากาศโลก
- ประธาน COP30 เตือน โอกาสสุดท้ายรักษาเป้า 1.5°C ก่อนสู่ยุค 'ไร้ทางกลับ'
- 'สงครามเย็นสีเขียว' ปะทุ COP30 ไทยถูกบีบจาก CBAM และภูมิรัฐศาสตร์พลังงาน
- เจาะภารกิจไทยใน COP30 มุ่งขอเงินทุนสู้โลกร้อน เร่งลดก๊าซเรือนกระจก 47%
2. เปลี่ยนเป้าหมายการปรับตัว (GGA) จาก ‘วางแผน’ สู่ ‘ลงมือทำ’
COP30 จะเน้นประเด็น “การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ” อย่างชัดเจน แม้หลายประเทศมี แผนการปรับตัวระดับชาติ (NAPs) แล้ว แต่ขั้นตอนการดำเนินงานยังจำกัด เพราะขาดเงินทุน และศักยภาพในการดำเนินการ
การประชุมที่เบเล็งจึงคาดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจาก “การวางแผน” ไปสู่ “การปฏิบัติจริง”
ประเด็นหลักคือ การขับเคลื่อน Global Goal on Adaptation (GGA) ซึ่งเป็นกรอบเป้าหมายระดับโลกสำหรับการปรับตัว โดยมุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ประเทศต่างๆ มีแนวทางที่ชัดเจนในการวางแผน ดำเนินการ และติดตามผล
ใน COP30 จะมีการพัฒนา ชุดตัวชี้วัด (indicator framework) เพื่อประเมินขีดความสามารถในการปรับตัว ความยืดหยุ่น และการลดความเปราะบาง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศต่างๆ จัดทำแผนปรับตัวเชื่อมโยงกับการเงิน การสร้างข้อมูล และการพัฒนาศักยภาพของชุมชนเปราะบางได้อย่างเป็นระบบ
3. Roadmap การเงินภูมิอากาศมูลค่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
COP30 จะเป็นบททดสอบสำคัญว่าระบบการเงินภูมิอากาศโลกสามารถทำให้ “เป็นธรรม และเข้าถึงได้มากขึ้น” หรือไม่
แม้ COP29 จะจัดตั้งเป้าหมายใหม่ด้านการเงินภูมิอากาศ New Collective Quantified Goal (NCQG) ได้สำเร็จ แต่ COP30 ต้องนำเป้าหมายนี้เข้าสู่ “สถาปัตยกรรมการดำเนินงาน และความโปร่งใส” ของความตกลงปารีส
ปัจจุบันระดับเงินสนับสนุนจากประเทศพัฒนาแล้ว ยังต่ำกว่าความต้องการจริงที่ประเมินไว้ราว 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา
ดังนั้น ประเทศเจ้าภาพ COP30 และอดีตเจ้าภาพจะต้องจัดทำ “Roadmap สู่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์” เพื่อปิดช่องว่างนี้ แม้เอกสารดังกล่าวจะไม่อยู่ในกระบวนการเจรจาโดยตรง แต่การประชุมต้องกำหนดแนวทางติดตามที่ชัดเจน พร้อมส่งสัญญาณความมุ่งมั่นจากภาครัฐ สถาบันการเงิน และนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะการ ปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IFI) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายภูมิอากาศ
4. กองทุน “Loss and Damage” เปิดรับคำขอรอบแรก
COP 30 จะเป็นก้าวสำคัญของ กองทุนเพื่อตอบสนองต่อความสูญเสีย และความเสียหาย (Fund for Responding to Loss and Damage – FRLD) ที่จะเปลี่ยนจาก “โครงสร้างบนกระดาษ” สู่ “การปฏิบัติจริง”
การประชุมจะเปิดรับคำขอรับทุนอย่างเป็นทางการครั้งแรก ด้วยวงเงินเริ่มต้น 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนโครงการช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยภูมิอากาศ
นอกจากนี้ จะมีการหารือถึงวิธีทำให้กองทุนนี้ทำงานร่วมกับกลไกเดิม เช่น Warsaw International Mechanism และ Santiago Network อย่างสอดคล้อง โดยมุ่งให้เงินทุนถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของประเทศเปราะบางได้จริง
5. ครบรอบ 10 ปีของข้อตกลงปารีส
ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของ Paris Agreement การประชุม COP 30 ต้องไม่เพียงเฉลิมฉลองความก้าวหน้า แต่ต้องยอมรับความเหลื่อมล้ำใน สามเสาหลัก คือ
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation)
- การปรับตัว (Adaptation)
- การเงินภูมิอากาศ (Finance)
COP30 ต้องรักษากลไกของความตกลงปารีส และพหุภาคีด้านภูมิอากาศให้แข็งแกร่ง พร้อม “ขยับนโยบาย” จากการกำหนดกฎหมายสู่ การลงมือปฏิบัติในทุกระดับ สิ่งสำคัญคือ การสร้างศักยภาพ (Capacity Building) ให้ทุกภาคส่วนในสังคม การเสริมพลังให้กับเสียงในท้องถิ่น และสถาบันระดับพื้นที่ผ่านเวทีระดับโลก
หากสามารถบูรณาการ Action Agenda เข้ากับการประชุม COP อย่างเป็นระบบ พร้อมกลไกติดตามผลที่ชัดเจน จะทำให้ “การดำเนินการจริง” ขยายวงได้เกินกว่าคำพูดหรือคำมั่นบนกระดาษ
จุดยืนประเทศไทยใน COP30 : เร่งเครื่องสู่ Net Zero
ประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วยจุดยืน “ผู้นำภูมิภาคด้านการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” โดยนำเสนอเป้าหมาย และนโยบายสำคัญผ่านเวทีเจรจา และ Thailand Pavilion
นางสาวภัทรานันท์ ทองประพาฬ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ให้สัมภาษณ์กับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ถึงจุดยืน และเป้าหมายหลักของประเทศไทย ว่า นอกจากต้องการแสดงศักยภาพในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เป็นไปตามเป้าหมายระดับโลกแล้ว ไทยยังมุ่งเน้นการขอรับเงินสนับสนุนด้านสภาพภูมิอากาศจากกองทุนต่างๆ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้ว
เพื่อเสริมศักยภาพของประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายใหม่ NDC 3.0 ที่ ครม.เห็นชอบเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ถึง 47% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับระดับปี 2019 อันจะส่งผลต่อเป้า Net Zero ของไทยให้เร็วขึ้น 15 ปี เป็นปี 2050
"ปีนี้เรามีเป้าหมายในการเจรจาเพื่อให้ได้เม็ดเงินสนับสนุนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับปีที่ผ่านมา ไทยได้รับเงินสนับสนุนประมาณ 38,000 ล้านบาท ภายใต้ Thailand’s First Biennial Transparency Report (BTR) ฉบับที่ 1 ซึ่งเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเงินทุน"
ไฮไลท์ของประเทศไทยคือจัดบูธ “Thailand Pavilion” ภายใต้แนวคิด “When Nature Thrives, We All Survive : ธรรมชาติคืนชีวิต สู้วิกฤติภูมิอากาศ” ประกอบด้วยประเด็น 5C ได้แก่ Climate Policy – นโยบายโลกร้อนของไทย, Climate Action – ตัวอย่างโครงการภาครัฐ และเอกชน, Climate Finance – การเข้าถึงเงินทุนสีเขียว, Climate Resilience – ความยืดหยุ่นของชุมชน และเมือง และ Climate Literacy – การสร้างความเข้าใจด้านภูมิอากาศให้คนไทยทุกระดับ นอกจากนั้นมีเสวนามากกว่า 30 หัวข้อ
ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนไทยร่วมมือกันอย่างเป็นระบบเพื่อ “เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทย” จากฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด สร้างสังคมที่มั่นคงต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ลูลา "COP แห่งความจริง”
"ลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา" (Luiz Inácio Lula da Silva) ประธานาธิบดีบราซิล กล่าวเปิดประชุมโดยต้อนรับผู้นำจากทั่วโลกที่เดินทางมาร่วมถกอนาคตของโลก พร้อมย้ำถึงพลัง และสัญลักษณ์ของการจัดประชุม ณ ผืนป่าแอมะซอน
“กว่า 30 ปีหลังจากการประชุมสุดยอดโลกที่ริโอเดจาเนโร อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้หวนคืนสู่ประเทศที่เป็นจุดกำเนิดอีกครั้ง วันนี้สายตาของโลกจับจ้องมายังเบเล็งด้วยความคาดหวัง”
"ลูลา" ย้ำว่า บราซิลในฐานะ “สะพานเชื่อม” ระหว่างประเทศ และกลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ ยึดหลักความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ (Climate Justice) และการพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุมทุกคน COP30 จะเป็น “COP แห่งความจริง" (COP of Truth) เป็นเวทีที่มนุษย์จะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของวิกฤติภูมิอากาศด้วยความกล้า ความโปร่งใส และความร่วมมือร่วมใจ
“ ปี 2024 ที่ผ่านมาเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกทะลุเกณฑ์ 1.5 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนอุตสาหกรรม เราจะไม่สามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ หากยังไม่สามารถขจัดความเหลื่อมล้ำทั้งภายใน และระหว่างประเทศ ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศคือ พันธมิตรในการต่อสู้กับความหิวโหย ความยากจน การเหยียดเชื้อชาติ ความไม่เท่าเทียมทางเพศ และเพื่อสร้างธรรมาภิบาลโลกที่เป็นตัวแทนของทุกคน”
ยูเอ็นเตือน 1.5 องศา คือเส้นแดงของมนุษยชาติ
"อันโตนิโอ กูเตอร์เรส" (António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations: UN) กล่าวแสดงความยินดีต่อความเป็นผู้นำของลูลา พร้อมย้ำว่าขณะนี้ เวลาสำหรับการลงมือทำคือเดี๋ยวนี้
“ขีดจำกัด 1.5 องศา คือ เส้นแดงของมนุษยชาติ เราต้องรักษามันไว้ในมือเรา สิ่งที่โลกยังขาดอยู่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่คือ ความกล้าทางการเมือง"
เราต้องเดินหน้าปฏิวัติพลังงานสะอาด ปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนกลายเป็นแหล่งไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในแทบทุกประเทศทั่วโลก และทุก 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในพลังงานสะอาด สร้างงานได้มากกว่าพลังงานฟอสซิลถึงสามเท่า
ความพยายามของโลกในขณะนี้ยังไม่เพียงพอ แม้ทุกประเทศจะปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ให้ไว้เต็มที่ โลกก็ยังมุ่งหน้าไปสู่ภาวะโลกร้อนเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส ซึ่งจะหมายถึง น้ำท่วมมากขึ้น ความร้อนมากขึ้น และความทุกข์มากขึ้นในทุกพื้นที่ การหลีกเลี่ยงหายนะทางภูมิอากาศจำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนลงเกือบครึ่งภายในปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
ที่มารูป: COP30 Brasil Amazônia
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







