ผู้นำอเมริกาถอยห่าง COP30 สวนทางจีน–ยุโรป–อินเดีย ผงาดบนเวทีภูมิอากาศโลก

ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไม่เข้าร่วมประชุม COP30 โดยมองว่าวิกฤติสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องหลอกลวง
KEY
POINTS
- ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไม่เข้าร่วมประชุม COP30 โดยมองว่าวิกฤติสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องหลอกลวง
- จีนแสดงบทบาทสำคัญในฐานะผู้ลงทุนด้านพลังงานสะอาด และรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก
- อินเดียยืนกรานให้ประเทศร่ำรวยรับผิดชอบทางการเงินในการแก้ปัญหาโลกร้อน
- สหภาพยุโรป (EU) กำลังเผชิญความแตกแยกภายใน และตั้งเป้าหมายที่ถูกวิจารณ์ว่าอ่อนเกินไป
การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 หรือ COP30 กำลังเปิดฉากขึ้นท่ามกลางบรรยากาศร้อนแรงไม่แพ้อุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้นำประเทศมหาอำนาจ และประเทศกำลังพัฒนากว่า 190 แห่ง พร้อมนักวิทยาศาสตร์ นักการทูต และภาคประชาสังคมกว่า 50,000 คน เดินทางสู่เมือง เบเลง (Belém) ประเทศบราซิล เพื่อหารือแนวทางหยุดยั้งวิกฤติภูมิอากาศ และคำถามใหญ่ที่ยังไร้คำตอบ “ใครควรเป็นผู้จ่ายเพื่อกอบกู้โลก?”
บราซิล เจ้าภาพกับภารกิจ “COP ของป่าไม้”
การเลือกจัดประชุมกลางผืนป่าแอมะซอนถือเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญของรัฐบาลบราซิล ซึ่งต้องการให้โลกเห็น “หัวใจของวิกฤติ และทางออกของโลก”
"ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา" (Luiz Inácio Lula da Silva) ประธานาธิบดีของบราซิล กล่าวว่า COP30 จะเป็น “COP ของป่าแอมะซอน” และประกาศตั้งกองทุนระดับโลก Tropical Forest Forever Facility (TFFF) มูลค่า 125 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนประเทศเขตร้อนในการอนุรักษ์ป่าโดยไม่ต้องแลกกับผลกำไรระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้สะดุดตั้งแต่เริ่มต้น เพราะสหราชอาณาจักรปฏิเสธร่วมสมทบ และหลายประเทศให้เงินสนับสนุนน้อยกว่าที่คาด ขณะที่ปัญหาภายในประเทศอย่างไฟป่า และภัยแล้งในแอมะซอนยังคงรุนแรง
บราซิลยังถูกตั้งคำถามถึงจุดยืนต่อประเด็นหลักของการประชุม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เพียงพอต่อเป้าหมาย 1.5°C ซึ่งเป็นหัวใจของข้อตกลงปารีสปี 2015 เพราะถึงแม้จะไม่อยู่ในวาระหลัก แต่ทุกสายตาจับจ้องว่าบราซิลจะใช้เวทีนี้อย่างไรเพื่อรักษาความหวังของโลก
“ทรัมป์ไม่มา” แต่อเมริกายังมีอิทธิพล
"โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศชัดว่าจะไม่เข้าร่วม COP30 พร้อมกล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า “วิกฤติภูมิอากาศคือ การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์”
แต่แม้ไม่มีตัวตนในห้องประชุม อิทธิพลของสหรัฐ ภายใต้ทรัมป์กลับถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังเกิดกรณีข่มขู่ประเทศคู่เจรจา ในการประชุมองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่ถกเรื่องภาษีคาร์บอนจากการขนส่งทางเรือ
รายงานจาก The Guardian ระบุว่า ผู้แทนบางประเทศได้รับโทรศัพท์ และอีเมลกดดันให้ลงคะแนนคัดค้านข้อเสนอ มิฉะนั้นอาจถูกตอบโต้ทางการค้า ผลลัพธ์คือ แผนจัดเก็บภาษีคาร์บอนถูกเลื่อนออกไปอีกหนึ่งปี
นักวิเคราะห์จึงเตือนว่า หากสหรัฐใช้วิธีเดียวกันใน COP30 เวทีเจรจาครั้งนี้อาจเผชิญ “แรงสั่นสะเทือนเบื้องหลัง” ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าการต่อรองบนโต๊ะ
จีน พูดน้อยแต่เดินหน้า “พลังงานสะอาด”
แม้ "สี จิ้นผิง" ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จะไม่เดินทางมาร่วมประชุมด้วยตนเอง แต่การเข้าร่วมผ่านวิดีโอคอล และแผน NDC ที่ส่งทันเวลาก็สะท้อนว่าจีนจริงจังกับ COP30
อย่างไรก็ดี แผนลดการปล่อยของจีนตั้งเป้าเพียง 7–10% ภายในปี 2035 ต่ำกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำถึงสามเท่า แต่จีนยังคงเป็น “ผู้ลงมือทำ” รายใหญ่ที่สุดของโลกในพลังงานหมุนเวียน โดยครึ่งหนึ่งของกำลังผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานสะอาด และรถยนต์ไฟฟ้าครองตลาดกว่าครึ่งของยอดขายในประเทศ
จีนอาจใช้เวที COP30 เพื่อส่งสัญญาณเชิงบวก เช่น การประกาศลดการปล่อยมีเทน แม้พันธมิตรสหรัฐ และจีนจะแตกหักไปแล้วก็ตาม
อินเดีย ถ่านหินเสาหลักพลังงาน
หลังเหตุการณ์ “ดราม่าบากู” ใน COP29 ที่อินเดียปฏิเสธข้อตกลงด้านเงินทุนภูมิอากาศมูลค่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ในนาทีสุดท้าย ปีนี้อินเดียยังคงยืนกรานให้ประเทศร่ำรวยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายหลักในการแก้ปัญหาโลกร้อน
"นเรนทรา โมดี" นายกรัฐมนตรีอินเดีย ยืนยันว่า ประเทศยากจนต้องมีสิทธิใช้พลังงานฟอสซิลเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
แม้ถ่านหินยังเป็นเสาหลักของพลังงานอินเดีย แต่ประเทศกำลังเร่งขยายพลังงานหมุนเวียนจนขึ้นเป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลก และอาจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ COP33 เพื่อแสดงบทบาทผู้นำโลกใต้
สหภาพยุโรป ผู้นำสีเขียวที่เริ่มแตกแถว
สหภาพยุโรปเคยเป็นหัวหอกด้านนโยบายภูมิอากาศของโลก แต่ก่อนเริ่ม COP30 เพียงไม่กี่วัน กลับยังตกลงกันไม่ได้เรื่อง “เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก”
ภายในยุโรปเองเกิดแรงต้านนโยบายสีเขียวจากพรรคฝ่ายขวา โดยเฉพาะในฝรั่งเศส เยอรมนี และยุโรปตะวันออก
ท้ายที่สุด EU ตกลงตั้งเป้าลดการปล่อยระหว่าง 66.25–72.5% ภายในปี 2035 จากระดับปี 1990 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า “ยังอ่อนเกินไป”
อย่างไรก็ดี คณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน และสหรัฐ โดยระบุว่า “ยุโรปจะไม่เป็นผู้นำเพียงลำพังอีกต่อไป” พร้อมพยายามสร้างพันธมิตรยุโรป–จีนเพื่อผลักดันความร่วมมือระดับโลก
กลุ่มประเทศเกาะเล็ก (AOSIS) เสียงแห่งศีลธรรม
ประเทศเกาะเล็กๆ เช่น วานูอาตู มัลดีฟส์ และตองกา ยังคงเป็น “กระบอกเสียงของโลก” ที่เรียกร้องให้ประเทศใหญ่ทำตามพันธกรณี
หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีคำตัดสินให้ประเทศต่างๆ ต้องปกป้องสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง AOSIS จะใช้ COP30 กดดันให้คำตัดสินนี้ถูกบังคับใช้ พร้อมเรียกร้องให้เดินหน้าการ “เลิกเชื้อเพลิงฟอสซิล” ตามที่ตกลงไว้ตั้งแต่ COP28
กลุ่มประเทศยากจน (LDCs) เสียงที่เบาแต่ทรงพลัง
กลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs)เผชิญความยากลำบากที่สุดในการเข้าร่วม COP30 แม้แต่ค่าเดินทาง และที่พักในเบเลงก็สูงเกินเอื้อมสำหรับบางประเทศ ทำให้หลายคณะผู้แทนมีขนาดเล็ก และขาดทุนสนับสนุน
สำหรับ LDCs ปีที่แล้วถือเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกที่เวที UNFCCC พูดคุยอย่างจริงจังเรื่อง “เงินทุนภูมิอากาศสำหรับประเทศยากจน” แม้ผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่พอใจ แต่พวกเขายังหวังว่าจะมีรูปแบบการเงินใหม่ๆ เช่น “การแลกหนี้เพื่อภูมิอากาศ” (debt-for-climate swaps) รวมถึงเงินช่วยเหลือแบบดั้งเดิม เพื่อให้ประเทศเหล่านี้สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนโดยไม่ต้องพึ่งเชื้อเพลิงฟอสซิล
“แผนที่ทางจากบากูสู่เบเลง” (Baku to Belém Roadmap) ที่เผยแพร่ก่อน COP30 จะเป็นหัวใจของข้อเรียกร้องของกลุ่มนี้ พวกเขาต้องการเห็น “คำมั่นด้านเงินทุนภูมิอากาศ” กลายเป็น “โครงการที่เป็นรูปธรรมจริง”
COP30 ไม่ใช่เพียงอีกหนึ่งการประชุม แต่คือ “จุดตัดสินใจของทศวรรษ”
โลกกำลังจับตาว่าประเทศมหาอำนาจจะร่วมกันรักษาเส้นทาง 1.5°C ได้หรือไม่
ขณะที่เสียงจากผืนป่าแอมะซอน เกาะเล็กกลางมหาสมุทร และประเทศยากจนทั่วโลก กำลังเรียกร้องให้ผู้นำโลกลงมือจริง ก่อนที่โลกจะร้อนเกินกว่าจะหายใจ
ที่มา: The Guardian
ที่มารูป: COP30 Brasil Amazônia
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







