'สงครามเย็นสีเขียว' ปะทุ COP30 ไทยถูกบีบจาก CBAM และภูมิรัฐศาสตร์พลังงาน

ใช้ COP30 เป็นเวทีทวงความเป็นธรรมทางภูมิอากาศผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ไทยใช้เวทีประชุม COP30 เป็นโอกาสในการทูตสิ่งแวดล้อมเชิงรุก โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและประชาธิปไตยเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
KEY
POINTS
- ประเทศไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจาก "สงครามเย็นสีเขียว" ผ่านมาตรการการค้าเช่น CBAM ของสหภาพยุโรป และการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ด้านพลังงาน
- แม้ไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนน้อย แต่มีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบสภาพภูมิอากาศ ทำให้ถูกบีบให้เลื่อนเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้นเป็นปี 2050
- ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ไทยใช้เวทีประชุม COP30 เป็นโอกาสในการทูตสิ่งแวดล้อมเชิงรุก โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและประชาธิปไตยเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
ก่อนที่การประชุม COP30 จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ที่เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล "สถาบันพระปกเกล้า" ได้จัดการประชุมวิชาการ KPI Congress ครั้งที่ 27 และมีการเสวนาหัวข้อ “ประชาธิปไตยและการทูตสิ่งแวดล้อม: แพลตฟอร์มสำหรับประเทศไทยในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง” (Environmental Democracy and Diplomacy : A Platform for Thailand in the Transformative World) เพื่อสะท้อนบทบาทและจุดยืนของไทยในโลกที่กำลังเผชิญกับ “สงครามเย็นสีเขียว” (Green Cold War) และการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ด้านพลังงาน
ชี้ให้เห็นทั้งข้อจำกัดของกลไกสากลในการลดก๊าซเรือนกระจก และโอกาสของประเทศไทยในการยกระดับบทบาททางการทูตสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานของประชาธิปไตย จริยธรรม และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ขณะเรียกร้องให้ไทยใช้ COP30 เป็นเวทีสำคัญในการแปลงเสียงจากฐานรากให้กลายเป็นพลังต่อรองในเวทีโลก
กลไกพหุภาคีกับความท้าทายคุมก๊าซเรือนกระจก
"ดร.กฤษฎา บุญชัย" เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และผู้ประสานงานเครือข่าย Thai Climate Justice For All ได้วิเคราะห์ถึงประสิทธิภาพของกลไกพหุภาคี โดยระบุว่า แม้โลกจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศมาตั้งแต่การมีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ในปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) แต่เครื่องมือและข้อตกลงระหว่างประเทศเหล่านี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางการพุ่งขึ้นของก๊าซเรือนกระจกได้เลย
“ปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 1992 มีการปล่อยประมาณ 22,000 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (GtCO₂e) และเพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านตันคาร์บอนในปี 2015 ซึ่งเป็นยุคที่มีการลงนามข้อตกลงปารีส และปัจจุบันปริมาณการปล่อยอยู่ที่ราว 37,400-41,000 ล้านตัน ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมาจากภาคพลังงานฟอสซิลที่เติบโตขึ้นอย่างมาก”
ปัญหาหลักคือ กลไกพหุภาคีขาดข้อผูกมัดทางกฎหมายที่เข้มแข็ง ขณะที่เครื่องมือทางเศรษฐกิจอย่างกลไกตลาดคาร์บอน เช่น CDM หรือ Carbon Offset กลับเป็นเหตุให้เป้าหมายการลดถูกเบี่ยงเบนออกไป เพราะผู้ก่อมลพิษใช้การชดเชยแทนการลดการปล่อยอย่างจริงจัง นอกจากนี้ เม็ดเงินจากกองทุนต่างๆ ที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางก็ยังไปไม่ถึงการแก้ปัญหาโดยตรง
ไทยเผชิญความเสี่ยงสูง แม้ปล่อยคาร์บอนน้อย
ด้าน "ดร.วิจารย์ สิมาฉายา" ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และเลขาธิการองค์การธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เน้นย้ำว่า ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งภูมิอากาศสุดขั้ว การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษ เช่น PM 2.5 ได้ถูกจัดเป็นความเสี่ยงหลักที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโลก
"สำหรับประเทศไทยนั้น แม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นเพียง 0.88% ของโลก (378 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) แต่เรายังคงเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงระดับต้นๆ เนื่องจากผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและไม่คาดคิด เช่น การเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่เคยประสบปัญหาภัยแล้ง เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ไทยจึงได้ประกาศขยับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นจากปี 2065 มาเป็นปี 2050"
“ดร.วิจารย์” ชี้ว่า การประเมินด้านสิ่งแวดล้อมของไทยยังน่ากังวล โดยดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (EPI) จัดให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 90 จาก 180 ประเทศ และคะแนนในด้านคุณภาพอากาศของไทยอยู่ที่อันดับ 139 ประเทศไทยควรใช้ "การทูตสิ่งแวดล้อมเชิงรุก" และต้องเตรียมพร้อมด้วยข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือในการเจรจาต่อรอง
ไทยท่ามกลาง "สงครามเย็นสีเขียว"
"ดร.ณัฐวิคม พันธุวงศ์ภักดี" อาจารย์ประจำวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) ได้กล่าวถึงกับดักการพัฒนาของประเทศไทย โดยระบุว่า การที่ประเทศไทยมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) เป็นหลัก และการพัฒนาแบบรวมศูนย์ในพื้นที่ราบลุ่มอย่างกรุงเทพมหานคร ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมและสร้างความเปราะบางต่อประเทศในภาพรวม
ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญแรงบีบจากภายนอก ซึ่งเปรียบได้กับ “สงครามเย็นสีเขียว” โดยมีมาตรการทางการค้า เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป เป็นอาวุธกดดันภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็ได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในสนามรบ ทางด้านการทูตพลังงาน
ปัญหาสำคัญคือ การมีส่วนร่วมของประชาชนที่น้อยมากในกระบวนการกำหนดนโยบายและเวทีโลก ทำให้เสียงของประชาชนที่แบกรับต้นทุนความเสียหายไม่ได้ถูกนำไปเป็นอำนาจต่อรอง
ข้อเสนอแนะ ประชาธิปไตยและการทูตจากฐานราก
วิทยากรทั้งสามท่านเห็นพ้องต้องกันในการให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อนำไปสู่การทูตสิ่งแวดล้อมที่เข้มแข็ง โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆ เข้าด้วยกัน ดังนี้
- ทำลายภาพลวงตาทางสถิติและข้อมูล: ต้องมีการสร้างข้อมูลสาธารณะที่ถูกต้องชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลในระดับพื้นที่ (Citizen Science) เพื่อให้ประชาชนมีอำนาจในการต่อรองกับภาครัฐและภาคทุน
- ยุติบทบาทผู้รับเคราะห์: ไทยหยุดคิดว่าตนเองเป็น “ผู้รับเคราะห์” (ผู้ประสบภัย) และเปลี่ยนบทบาทเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงและนำความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทั้งอาเซียนและลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อเพิ่มอำนาจในการคานอำนาจในเวทีโลก
- ความสำคัญของจริยธรรมและสิทธิ: การทูตสิ่งแวดล้อมจะเข้มแข็งได้ต้องมี "จริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อม" ที่เข้มแข็ง และต้องรับฟังเสียงของคนตัวเล็กๆ ที่พูดถึงสิทธิมนุษยชนในสิ่งแวดล้อม เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์มักมาจากการเคลื่อนไหวของคนข้างนอกเสมอ
- การทูตต้องคู่ประชาธิปไตย: การทูตสิ่งแวดล้อมจะเข้มแข็งไม่ได้ ถ้าประชาธิปไตยยังล้มเหลว และรัฐบาลต้องแปลข้อมูลที่ซับซ้อนให้เป็นภาษาชาวบ้านที่เข้าถึงได้ เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชน (ที่มักทำ ESG เพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น) และประชาชนเห็นความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง







