'ฝันร้าย' ไม่ใช่แค่ฝัน แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพ

'ฝันร้าย' ไม่ใช่แค่ฝัน แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพ

การนอนเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่หลายคนกลับมีปัญหาการนอน โดยเฉพาะ อาการนอนไม่หลับ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งอาการที่ดูจะเป็นเรื่องเล็ก ที่ไม่เล็กอย่าง 'ฝันร้าย' การที่ฝันร้ายบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพได้

Key Point : 

  • ฝันร้าย คือ ความฝันที่ก่อให้เกิดอารมณ์ด้านลบ มีภาพชัดเจน ผู้ที่ฝันสามารถจำเนื้อหาได้ เนื้อหาความฝันมักน่ากลัว และส่งผลให้การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง
  • บางคนมักจะฝันร้ายตอนเช้าส่งผลให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวล หวาดกลัว หรือโศกเศร้า อีกทั้งยังพบว่า เด็กมีอาการฝันร้ายมากกว่าผู้ใหญ่
  • แม้การนอนหลับแล้วฝัน เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่หากฝันร้ายจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

 

 

ช่วงเวลาในการพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอนหลับ เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่การนอนหลับมักควบคู่มากับ ความฝัน หากฝันดีตื่นเช้ามาก็สดใสไม่มีเรื่องกังวลอะไร แต่ถ้าฝันร้ายก็คงสร้างความวิตกกังวลไม่น้อยส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันที่นอกจากจะพักผ่อนไม่พอแล้วยังต้องมาคิดมากกับเรื่องราวในความฝันอีก

 

ข้อมูลจาก อ.นพ.กานต์ จำรูญโรจน์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายความหมายและผลกระทบของฝันร้าย เพื่อนำไปดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพใจของตัวเองว่า ฝันร้าย คือ ความฝันที่ก่อให้เกิดอารมณ์ด้านลบ มีภาพชัดเจน ผู้ที่ฝันสามารถจำเนื้อหาได้ เนื้อหาความฝันมักน่ากลัว และส่งผลให้การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงการนอนที่มีการเคลื่อนไหวไปมาของตาอย่างรวดเร็ว (rapid eye movement sleep) บางคนมักจะฝันร้ายตอนเช้าส่งผลให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวล หวาดกลัว หรือโศกเศร้า จากการศึกษาทางระบาดวิทยา พบว่า เด็กมีอาการฝันร้ายมากกว่าผู้ใหญ่

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

 

สาเหตุของฝันร้าย

  • ฝันร้ายไม่ใช่ความผิดปกติเสมอไป แต่หากเกิดขึ้นบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน พบว่ามักมีสาเหตุบางอย่างที่ควรได้รับการบำบัดรักษา
  • สาเหตุที่พบบ่อยของฝันร้ายมาจากความวิตกกังวลและความเครียด
  • การสูญเสียบุคคลที่รักหรือ การถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง
  • ผลข้างเคียงของยา เช่น ยานอนหลับ
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่มากเกินไป
  • ความผิดปกติของการหายใจขณะหลับหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • การรับประทานอาหารที่ย่อยยากก่อนนอน เช่น เนื้อสัตว์
  • มีปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และภาวะผิดปกติทางจิตใจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) ซึ่งภาวะอย่างหลังนี้มักจะฝันถึงเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เคยพบเจอมา เป็นภาพฉายซ้ำ ๆ บางครั้งอาจเห็นภาพแค่บางส่วน

 

ฝันร้ายแบบไหนบอกว่ากำลังป่วย

แต่ละคนมีเรื่องราวฝันร้ายที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ฝันร้ายที่บอกถึงปัญหาหรือความผิดปกติของสภาพจิตใจมีลักษณะ ดังนี้

  • เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
  • ทำให้สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอยู่เสมอ จนรบกวนการนอนหลับเป็นประจำ
  • ส่งผลให้ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต ทำกิจกรรม การงาน หรือเข้าสังคม

 

ฝันร้ายในเด็ก

เด็กเล็ก 1-2 ปี จะเริ่มมีอาการฝันร้าย คือ การสะดุ้งตื่นกลางดึกและร้องไห้ แต่ในเด็กเล็กอาจจะยังไม่รู้ว่าคือฝันร้าย แต่เมื่ออายุ 3-4 ปี จะเริ่มสื่อสารถึงเรื่องราวที่ฝันได้ และรับรู้ว่าสิ่งนั้นคือฝันร้าย

สาเหตุฝันร้ายในเด็กเล็ก อาจเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือเกิดจากสถานการณ์ เหตุการณ์ สิ่งแวดล้อมที่เด็กได้รับก่อนเข้านอนหรือได้รับในแต่ละวัน เช่น ดูภาพยนตร์ โทรทัศน์ หรือคลิป Youtube ที่มีภาพ เสียงที่น่ากลัวหรือมีความรุนแรง พอถึงเวลานอนตอนกลางคืนเด็กก็มักจะฝันร้าย

 

 

วิธีลดอาการฝันร้ายของเด็ก

  • เข้านอนอย่างเป็นเวลา เด็กเล็กควรเข้านอนแต่หัวค่ำฝึกเป็นนิสัยและห้องนอนของเด็กอาจจะมีตุ๊กตาที่ชอบไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาเพื่อให้เด็ก ๆ มีจิตใจสงบลดฝันร้าย
  • กิจกรรมก่อนเข้านอน หากิจกรรมที่เบา ๆ ไม่ควรเล่นกีฬาหนัก ๆ หรือดูทีวี ดูหนังที่มีฉากน่ากลัวหรือสยองขวัญ งดรับประทานอาหารที่หนักมาก เพราะจะส่งผลต่อระบบย่อยอาหารทำให้หลับยากและเสี่ยงต่อฝันร้าย

 

ฝันร้ายทุกคืน มีวิธีป้องกันอย่างไร ?

  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน เช่น ชา กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม
  • พยายามทำกิจกรรมผ่อนคลายก่อนนอน เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง
  • รักษาอุณหภูมิในห้องไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป
  • ทำให้ห้องมืดสนิทช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
  • ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 20-30 นาทีในช่วงเย็นหรือประมาณ 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
  • กำหนดเวลานอนให้เหมือนกันในทุกวันให้ร่างกายได้จดจำเวลาเข้านอนและตื่นนอน
  • หลีกเลี่ยงการเล่นโซเชียลมีเดียหรือติดตามข่าวเครียด ๆ ก่อนนอน
  • การนอนหลับแล้วฝัน เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากนอนหลับฝันร้ายจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อให้การนอนมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

 

นอนไม่หลับ อีกหนึ่งปัญหาสุขภาพ

 

อีกหนึ่งปัญหาการนอนที่พบมาก คือ นอนไม่หลับ ข้อมูลจาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ อธิบายว่า นอนไม่หลับ เป็นภาวะหรืออาการที่เกิดขึ้นร่วมกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ ทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น หากนอนไม่หลับมากกว่า 1 สัปดาห์ อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและความสัมพันธ์กับผู้อื่น จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงที

 

สาเหตุของอาการนอนไม่หลับ 

ปัจจัยทางกาย

  • อาการผิดปกติของโรค เช่น โรคสมองเสื่อม ความผิดปกติของฮอร์โมน ไอเรื้อรัง ปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน มีอาการเจ็บปวดทรมานมากจนทำให้นอนไม่หลับ
  • ความผิดปกติของระบบการหายใจ เช่น หายใจไม่สะดวก หายใจลำบาก ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย เช่น การเคลื่อนไหวแขนขาที่ผิดปกติขณะนอนหลับ
  • การได้รับสารกระตุ้นบางอย่าง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

 

ปัจจัยทางจิตใจ

  • เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นส่งผลต่อจิตใจ อาจเป็นเรื่องที่ทำให้เสียใจ หรือไม่สบายใจ
  • เกิดจากอาการเริ่มแรกของโรคทางจิตบางอย่าง เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคจิตเวช

 

ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม

  • สภาพห้องนอน เช่น แสงสว่างมากเกินไป เสียงดัง อุณหภูมิรัอนเกินไป
  • รู้สึกแปลกต่อสถานที่ การเปลี่ยนสถานที่นอน และการเดินทางข้ามเส้นแบ่งเวลาโลก
  • การนอนที่ไม่เป็นเวลา เช่น การทำงานกะดึก ทำกิจกรรมตี๋นเต้นผาดโผนก่อนนอน

 

แอลกอฮอล์ไม่ช่วยให้นอนหลับ

เมื่อนอนไม่หลับ บางคนอาจหาทางออกด้วยการจิบแอลกอฮอล์เย็นๆ เพราะรู้สึกว่าผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับได้ดี แต่จริงๆ แล้วแอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยให้นอนหลับ และยังส่ง

ผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคหยุดหายใจขณะหลับ

 

การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการนอน

  • เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาให้ร่างกายปรับวงจรการนอนเป็นปกติและหลับง่ายขึ้น
  • จัดสภาพแวดล้อมในห้องนอน เช่น อากาศไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป เสียงไม่ดังเกินไป ไม่สว่างเกินไป
  • ใช้เตียงนอนสำหรับการนอนเท่านั้น ไม่ควรทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ทำงาน รับประทานอาหาร นอนดูทีวี
  • หลีกเลี่ยงอุปกรณ์สื่อสารอย่างน้อย 30 นาทีก่อนนอน และกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าผิดปกติ
  • ควรนอนเมื่อรู้สึกง่วง หากนอนไม่หลับใน 20 นาที ให้ลุกไปทำกิจกรรมที่สบายใจแล้วกลับมานอนใหม่
  • อย่าบังคับตัวเองให้นอนหลับ เพราะอาจทำให้เกิดความกังวล และหลับยาก
  • อย่านอนชดเชยตอนกลางวัน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับตอนกลางคืน
  • รับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการนอนหลับเป็นมื้อเย็น เช่น นมสดจืด เนื้อไก่ ไข่ เนื้อปลา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และถั่ว รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักก่อนนอน 2 ชั่วโมง
  • งดสารกระตุ้นหลังเที่ยงวัน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน ห้ามออกกำลังกายก่อนนอนเพราะจะทำให้หลับยากขึ้นกว่าเดิม
  • อาบน้ำอุ่น ดื่มนมอุ่น และผ่อนคลายต่าง เช่น ทำสมาธิ จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น
  • ไม่ควรใช้ยาเพื่อทำให้หลับเพราะเมื่อหยุดยาจะทำให้นอนไม่หลับมากขึ้น ยกเว้นแพทย์เป็นผู้สั่งยาให้
  • มาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขโดยเร็วตั้งแต่ระยะแรก จะทำให้ปัญหารุนแรงน้อยลง

 

 

อ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์