เริ่มแล้ว COP30 ผู้นำร่วมถก 6 วาระ เร่ง roadmap ระดม 1.3 ล้านล้านภายในปี 2035

COP30เร่งรัดการลงมือปฏิบัติจริงในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผู้นำทั่วโลกหารือภายใต้ 6 เสาหลัก Action Agenda และเปิดตัวแผน "Baku to Belém Roadmap" ระดมทุนด้านสภาพภูมิอากาศให้ได้อย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2035 เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา
KEY
POINTS
- การประชุม COP30 เริ่มขึ้นแล้วที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดการลงมือปฏิบัติจริงในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
- ผู้นำทั่วโลกหารือภายใต้ 6 เสาหลักของวาระปฏิบัติการ (Action Agenda) ซึ่งครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การปกป้องธรรมชาติ และการสร้างความยั่งยืนในภาคส่วนต่างๆ
- มีการเปิดตัวแผน "Baku to Belém Roadmap" ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวสำหรับระดมทุนด้านสภาพภูมิอากาศให้ได้อย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2035 เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา
การประชุมระดับโลกว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 หรือ COP30 เปิดฉากขึ้นแล้ว ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2025 ท่ามกลางสายตาและความคาดหวังจากทั่วโลกว่า การประชุมครั้งนี้จะเป็น “COP แห่งการลงมือทำ” ได้จริงหรือไม่ หลังหลายประเทศยังคงเร่งลดการปล่อยคาร์บอนไม่ทันตามเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายใต้กรอบความตกลงปารีส
สิ่งที่ต้องจับตาปีนี้ คือ 5 ความคาดหวังระดับโลก ตั้งแต่การระดมทุนสภาพภูมิอากาศ 1.3 ล้านล้าน เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนและกำลังพัฒนา การเพิ่มพลังงานหมุนเวียน 3 เท่าภายในปี 2030 ภายใต้สโลแกน "Global Mutirão" (ความพยายามร่วมกันของทุกคน) ทำให้การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการบูรณาการพลังจาก รัฐบาล ภาคธุรกิจ ชุมชน และประชาชน เพื่อบรรลุ 30 วัตถุประสงค์ ของ 6 เสาหลักของ Action Agenda ดังนี้
- เปลี่ยนผ่านพลังงาน อุตสาหกรรม และการขนส่ง สู่ระบบพลังงานสะอาด
- ปกป้องป่า มหาสมุทร และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้คงอยู่เป็นสมดุลธรรมชาติ
- ปรับระบบเกษตร และอาหารให้ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซมีเทน และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างความยืดหยุ่นให้เมือง โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรน้ำ เพื่อรับมือภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว
- พัฒนามนุษย์ และสังคม สร้างงานสีเขียว เพิ่มความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ
- บูรณาการข้ามสาขา เชื่อมโยงการเงิน เทคโนโลยี และขีดความสามารถสู่การเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน
5 ความคาดหวังระดับโลก
COP30 ไม่ใช่แค่เวทีเจรจานโยบาย แต่เป็นสนามประลองทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์สีเขียวที่กำหนดอนาคตการจัดสรรทรัพยากรและความรับผิดชอบของโลก โดยมี 5 ประเด็นหลักที่ต้องจับตา ได้แก่
- เส้นตายปี 2025 สำหรับการส่งแผน NDCs ใหม่ที่ต้องมีความทะเยอทะยานมากขึ้น เพื่อผลักดันให้ครอบคลุมทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และการเงินภูมิอากาศ พร้อมกลไกติดตามเพื่ออุดช่องว่างความทะเยอทะยาน
- การเปลี่ยนเป้าหมาย Global Goal on Adaptation (GGA) จากการวางแผนสู่การลงมือทำจริง ด้วยชุดตัวชี้วัดใหม่ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความยืดหยุ่นของชุมชนเปราะบาง
- Roadmap การเงินภูมิอากาศมูลค่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อปิดช่องว่างเงินทุนสำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยเน้นความเป็นธรรมและความโปร่งใส พร้อมปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศให้สอดคล้องกับเป้าหมายภูมิอากาศ
- การเปิดรับคำขอกองทุน Loss and Damage ครั้งแรก ด้วยเงินทุนเริ่มต้น 250 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมหารือแนวทางการบริหารกองทุนให้มีประสิทธิภาพ
- ครบรอบ 10 ปีข้อตกลงปารีส ที่ COP30 ต้องยกระดับจากการกำหนดนโยบายสู่การปฏิบัติจริง พร้อมเสริมสร้างศักยภาพและเสียงของท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนโลกสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเท่าเทียม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เร่งระดมทุนภูมิอากาศ 1.3 ล้านล้าน
นายมุคห์ตาร์ บาบาเยฟ ประธาน COP29 และ นายอังเดร โกเรอา ดู ลาโก ประธาน COP30 ได้ร่วมเปิดตัว “Baku to Belém Roadmap” หรือ “แผนปฏิบัติการบากูถึงเบเลง” ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวเพื่อระดมเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2035 เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา โดย Roadmap นี้กำหนด 5 แนวทางหลัก ได้แก่
- Replenishing – เพิ่มเงินทุนแบบให้เปล่า เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และเงินทุนต้นทุนต่ำ
- Rebalancing – ปรับสมดุลงบประมาณทางการคลังและความยั่งยืนของหนี้
- Rechanneling – ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนในรูปแบบใหม่ พร้อมลดต้นทุนทางการเงิน
- Revamping – เสริมศักยภาพและความร่วมมือเพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอโครงการด้านสภาพภูมิอากาศ
- Reshaping – ปรับโครงสร้างระบบการเงินให้เอื้อต่อการไหลเวียนของเงินทุนอย่างเท่าเทียม
ประธาน COP30 ระบุว่า แผน Baku to Belém สะท้อนแรงขับเคลื่อนระดับโลกในการปฏิรูประบบการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกตระหนักถึงความจำเป็นของระบบการเงินที่เป็นธรรมและยั่งยืนมากขึ้น
“นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคการเงินด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ข้อตกลงปารีสบรรลุผลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ต้องผสานเข้ากับโครงสร้างเศรษฐกิจและการเงินจริง แผน 5Rs จึงเป็นสะพานเชื่อมจากความเร่งด่วนทางวิทยาศาสตร์ สู่แผนปฏิบัติที่จับต้องได้ในระดับโลก”
Belém 4X แผนเชื้อเพลิงยั่งยืน
นายลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล กล่าวว่า บราซิลไม่กลัวการพูดคุยเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดย 90% ของไฟฟ้าประเทศมาจากพลังงานสะอาด และบราซิลเป็นผู้นำด้านเชื้อเพลิงชีวภาพอันดับ 2 ของโลก โดยน้ำมันเบนซินผสมเอทานอล 30% และดีเซลผสมไบโอดีเซล 15%
ทั้งนี้ COP30 มีการเปิดตัว “Belém 4X” ความร่วมมือระหว่างประเทศ 19 ชาติ ที่มุ่งส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงยั่งยืนอย่างน้อยสี่เท่าภายในปี 2035 เพื่อเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานและรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ โดยความร่วมมือนี้ได้รับการสนับสนุนจากประเทศหลากหลายทั้งพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา
“ความท้าทายคือ ประชากรกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลกขาดเชื้อเพลิงสำหรับปรุงอาหารที่ปลอดภัย ขอใช้ COP30 เรียกร้องให้แก้ไขปัญหาหนี้สินและเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมต่อประเทศกำลังพัฒนา เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานเป็นไปอย่างยุติธรรม ครอบคลุม และให้ทุกประเทศได้เข้าถึงเทคโนโลยีและเงินทุน”
5 ทาง เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations: UN) กล่าวว่า พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในแทบทุกประเทศ และทุก ๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในพลังงานสะอาด สร้างงานได้มากกว่าพลังงานฟอสซิลถึง 3 เท่า
ถึงเวลาที่ทุกประเทศต้องเร่งเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรม รวดเร็ว และทั่วถึง ต้องมุ่งปฏิวัติพลังงานสะอาด ผ่านแนวทาง 5 ประการ ได้แก่
1) ปรับนโยบาย กฎหมาย และแรงจูงใจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
2) ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมต่อแรงงานและชุมชนที่ยังพึ่งพาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ
3) ลงทุนในระบบโครงข่ายพลังงานและเทคโนโลยีจัดเก็บพลังงาน
4) ตอบสนองความต้องการไฟฟ้าใหม่ทั้งหมดด้วยพลังงานสะอาด รวมถึงภาคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
5) ปลดล็อกการเงินเพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในแอฟริกา ซึ่งยังได้รับเงินลงทุนเพียง 2% ของการลงทุนพลังงานสะอาดทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการสหประชาชาติ เตือนว่าความพยายามของทุกประเทศยังไม่เพียงพอ แม้จะปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ให้ไว้เต็มที่ โลกก็ยังมุ่งหน้าไปสู่ภาวะโลกร้อนเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลต่อน้ำท่วมมากขึ้น ความร้อนมากขึ้น และความทุกข์มากขึ้นในทุกพื้นที่ จึงจำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนลงเกือบครึ่งภายในปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
ที่มารูป: COP30 Brasil Amazônia







