ครม. ไฟเขียว NDC 3.0 ก่อน COP30 เร่ง Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ดึงเม็ดเงินต่างประเทศ

คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบกรอบเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (NDC 3.0) โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซลง 47% จากระดับปี 2562 เร่งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้น 15 ปี
KEY
POINTS
- คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบกรอบเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (NDC 3.0) โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซลง 47% จากระดับปี 2019
- เร่งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065
- จัดทำแผนเพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศกว่า 230,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ
- เตรียมนำเสนอเป้าหมาย NDC 3.0 อย่างเป็นทางการในเวที COP30
ที่ผ่านมา ไทยตั้งเป้าบรรลุ Net Zero ในปี 2065 ถือว่าช้ากว่า 111 ประเทศทั่วโลก ถึง 15 ปี และมีความเสี่ยง “หลุดวงจรการค้าโลก” เพราะประเทศและบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 เริ่มจำกัดการซื้อสินค้าและบริการเฉพาะจากประเทศที่มีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกัน
การปรับเป้าใหม่ให้บรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 จึงถือเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทย และทำให้ประเทศเข้าสู่กลุ่มมาตรฐานเดียวกับ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเวียดนาม ที่ต่างประกาศเป้าหมายเดียวกัน
ครม. เคาะ NDC 3.0
ล่าสุด วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ Nationally Determined Contribution: NDC ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) ซึ่งเป็นกรอบเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2574–2578 (ค.ศ. 2031–2035) เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และ ความตกลงปารีส (Paris Agreement)
โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ ให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂eq) หรือ ลดลงร้อยละ 47 จากระดับปีฐาน 2562 (ค.ศ. 2019) ซึ่งถือเป็นการยกระดับเป้าหมายครั้งสำคัญจาก NDC ฉบับก่อนหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับทิศทางสู่ Net Zero 2050
รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กำกับดูแลการขับเคลื่อนเรื่องนี้ ได้ยืนยันจุดยืนชัดเจนว่า ไทยจะร่วมมือกับประชาคมโลกอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน
ดึงเม็ดเงินต่างประเทศ 2.3 แสนล้านบาท
นายสุชาติ ชมกลิ่น เปิดเผยว่า NDC 3.0 เป็นก้าวกระโดดที่เร่งเส้นทางสู่ Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเป้าหมายเดิมปี 2065 มาเป็นปี 2050 เพื่อสอดคล้องกับ เส้นทางจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส (1.5°C Pathway) ตามนโยบายข้อที่ 13 ของรัฐบาล “สิ่งแวดล้อมยั่งยืน เศรษฐกิจสีเขียว” ที่นายกรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา
“รัฐบาลมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ พร้อมเพิ่มศักยภาพการดูดซับคาร์บอนจากป่าไม้และที่ดิน (LULUCF) เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกัน ได้จัดทำแผนลงทุนเพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศกว่า 230,000 ล้านบาท สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 32.8 MtCO₂eq ภายใต้กรอบความร่วมมือของความตกลงปารีส” นายสุชาติกล่าว
NDC 3.0 ครอบคลุม 5 สาขาหลัก
ทั้งนี้ NDC 3.0 ครอบคลุม 5 สาขาหลัก ได้แก่
- พลังงานและคมนาคม
- อุตสาหกรรม
- เกษตร
- ของเสีย
- ป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน
โดยมีการดำเนินงาน ร้อยละ 70 ด้วยศักยภาพภายในประเทศ และอีกร้อยละ 30 ขอรับการสนับสนุนทางเทคนิคและการเงินจากต่างประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สร้างแต้มต่อในเวทีโลก
นายสุชาติ ย้ำว่า การยกระดับเป้าหมายครั้งนี้ไม่เพียงตอบโจทย์สิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็น “โอกาสเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ” ที่จะสร้างแต้มต่อในเวทีโลก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ดึงดูดการลงทุนสีเขียว และเปิดงานใหม่ในภาคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
"กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) ได้จัดส่ง เอกสาร NDC 3.0 ต่อ UNFCCC แล้วในช่วงบ่ายวันเดียวกัน และจะนำเสนออย่างเป็นทางการในที่ประชุม COP30 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อประกาศความมุ่งมั่นของประเทศไทยในเวทีโลก"
ไทยจะไม่เพียงตั้งเป้า แต่จะลงมือทำจริง ผ่านการจัดทำ Action Plan รายสาขา และระบบ Digital Tracking เพื่อติดตามผลแบบเรียลไทม์ โปร่งใส และตรวจสอบได้
รัฐบาลเชื่อว่า การเห็นชอบ NDC 3.0 จะช่วยยกระดับบทบาทของไทยในเวทีสิ่งแวดล้อมโลก เสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ไทยปล่อย GHGs เพิ่มขึ้น 12 ล้านตัน
จากฐานข้อมูล รายงาน GHG Emissions of All World Countries 2025 ของหน่วยงาน The Emissions Database for Global Atmospheric Research (EDGAR) พบว่า ในปี 2024 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น 12 ล้านตัน CO₂eq หรือ 2.9% จากปี 2023
โดยก๊าซเรือนกระจกของไทยในปี 2567 จำแนกตามกิจกรรมเป็นดังนี้
- การผลิตไฟฟ้า 90.23 ล้านตัน CO2eq
- การขนส่ง 84.66 ล้านตัน CO2eq
- กระบวนการผลิต 71.10 ล้านตัน CO2eq
- การเกษตร 59.05 ล้านตัน CO2eq
- อุตสาหกรรม 50.87 ล้านตัน CO2eq
- การกำจัดของเสีย 27.58 ล้านตัน CO2eq
- การจัดการเชื้อเพลิง 23.59 ล้านตัน CO2eq
- ที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ 15.31 ล้านตัน CO2eq
เร่งลดคาร์บอนเฉลี่ย 10% ต่อปี
การเร่งเป้าหมาย Net Zero ทำให้ไทยต้องลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้นเฉลี่ย ร้อยละ 10 ต่อปี และต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เข้าสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Economy) โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การใช้พลังงานสะอาด และการดูดกลับคาร์บอนจากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน
นอกจากนี้ ภาครัฐยังเตรียมมาตรการใหม่เพื่อผลักดันภาคอุตสาหกรรมให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น
- การเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax)
- ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอน (Carbon Credit Trading System)
- ซึ่งจะช่วยจูงใจให้ภาคธุรกิจลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดมากขึ้น







