ท่าที 'ไทย' สู่ COP30 ที่บราซิล จ่อโชว์เป้าใหม่ Net Zero เร็วกว่าเดิม 15 ปี

ท่าที 'ไทย' สู่ COP30 ที่บราซิล จ่อโชว์เป้าใหม่ Net Zero เร็วกว่าเดิม 15 ปี

จ่อชง ครม.ชุดใหม่ ปรับเป้าหมายใหม่ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิม 15 ปี เตรียมโชว์ในที่ประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล

KEY

POINTS

  • จ่อชง ครม.ชุดใหม่ ปรับเป้าหมายใหม่ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิม 15 ปี เตรียมโชว์ในที่ประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล
  • จะมีการเสนอเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ฉบับที่ 3.0 สำหรับปี 2035 โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 109.2 ล้านตันเทียบกับปีฐาน 2019
  • จะนำเสนอความคืบหน้าของกลไกภายในประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund)
  • แสดงความเป็นผู้นำด้านความร่วมมือซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้ความตกลงปารีส โดยมีโครงการที่สำเร็จเป็นรูปธรรมแล้ว เช่น รถเมล์ไฟฟ้า EV Smile Bus

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พา อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ โดยได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าและภารกิจสำคัญของประเทศไทยในการเตรียมเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล 10-21 พฤศจิกายน 2025 ว่า ไทยจะเน้นผลงานที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และความมุ่งมั่นใหม่ของประเทศไปเผยแพร่ในที่ประชุม

ที่ผ่านมาไทยประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก 2021-2030 ซึ่งมุ่งเป้าลดก๊าซ 30-40% โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในตัวชี้วัด (KPI) สำหรับปี 2565 ไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 65 ล้านตัน และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 75 ล้านตัน ในปี 2566 ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ถูกรายงานเข้าสู่รายงานความโปร่งใสรายปีที่ส่งไปยังสำนักเลขาธิการ UNFCCC เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2567

"การที่เราจะไปบอกกับชาวโลกหรือบอกกับเวที COP ว่า ประเทศไทยเดินหน้านั้น พูดลอยๆ ไม่ได้ ต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ก็คือมีผลการลดก๊าซที่เป็นรูปธรรม แล้วก็มีการ report ที่มีความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง"

ภารกิจ COP30: ประกาศ NDC 3.0 ปี 2035

“ดร.พิรุณ” บอกว่า ภารกิจสำคัญที่สุดที่ไทยเตรียมนำไปสื่อสารที่ COP30 คือการปรับปรุงเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ฉบับที่ 3.0 สำหรับปี 2035 (พ.ศ. 2578) ซึ่งเป็นปีที่ทุกประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ต้องส่งเป้าหมายเดียวกัน

“ภายใต้ NDC 3.0 นี้ ไทยจะลดก๊าซเรือนกระจกแบบเด็ดขาด (Absolute emission reduction) ตั้งเป้าลดลง 109.2 ล้านตัน จากการปล่อยจริง โดยเทียบกับปีฐาน 2019 ซึ่งในปี 2019 ไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 379 ล้านตัน เมื่อรวมการลดก๊าซและการเพิ่มการดูดกลับจากภาคป่าไม้ (ทั้งป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจ) จาก 107 ล้านตัน ให้เป็น 118 ล้านตัน จะทำให้การปล่อยก๊าซสุทธิ (Net emission) ของไทยอยู่ที่ 152 ล้านตัน"

"ดร.พิรุณ" ระบุว่า ตัวเลขนี้ จะสอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ ที่จะปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 ซึ่งเป็นการขยับเป้าหมายให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเป้าหมายเดิมในปี 2065

"หลัง ครม. ใหม่ตั้งขึ้นมา กรมฯจะเสนอเป้าหมายใหม่ของประเทศเข้าไปให้ได้รับความเป็นชอบ หลังจากนั้นก็จะสามารถไปสื่อสารได้ใน COP30 ที่บราซิลในเดือนพฤศจิกายนนี้"

โชว์เคสความคืบหน้าของ พ.ร.บ. ภูมิอากาศ และกองทุน

“ดร.พิรุณ” กล่าวด้วยว่า ไทยจะนำความคืบหน้าของกลไกภายในประเทศ โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปโชว์เคสที่ COP30 ด้วย

ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: กระบวนการของร่าง พ.ร.บ. นี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาล กฎหมายกำลังรอการนำกลับเข้าเสนอต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เพื่อเดินหน้าต่อ และคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในปีหน้า (2568)

กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund): เป็นหมวดที่ 4 ในร่าง พ.ร.บ. กองทุนนี้มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยได้รับการเห็นชอบการจัดตั้งในหลักการจากคณะกรรมการทุนหมุนเวียนและกระทรวงการคลังแล้ว

ผู้นำคาร์บอนเครดิต Paris Agrement 6.2

“ดร.พิรุณ” บอกว่า ประเทศไทยเตรียมแสดงความเป็นผู้นำในกลไกความร่วมมือภายใต้ข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส (การซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ) ปัจจุบัน ไทยมีการลงนามความร่วมมือกับสวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น (ภายใต้กลไก JCM) และสิงคโปร์

"ไทยถือว่า เป็นประเทศแรกของโลก ที่มีโครงการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตจริงและทำสำเร็จแล้ว ซึ่งโครงการที่เป็นรูปธรรมคือ รถเมล์ไฟฟ้า EV ของไทย Smile Bus ที่วิ่งอยู่ในกรุงเทพฯ"

นอกจากนี้ ไทยและสิงคโปร์จะร่วมกันประกาศเปิดตัวโครงการความร่วมมือใหม่ที่ COP30 ซึ่งมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาคือ โครงการป่าชายเลน และ โครงการด้าน food waste (การจัดการขยะอาหาร)