จีน-สหรัฐ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากสุดในโลก ไทยอันดับ 3 อาเซียน ต้นเหตุโลกร้อน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สรุปข้อมูลจากรายงาน GHG Emissions of All World Countries 2025 ซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรป ปี 2024 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกทำสถิติสูงสุดใหม่
KEY
POINTS
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สรุปข้อมูลจากรายงาน GHG Emissions of All World Countries 2025 ซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรป
- ปี 2024 ได้รับการยืนยันว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกทำสถิติสูงสุดใหม่
- ประเทศจีนเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก โดยปล่อยสูงถึง 15,536 ล้านตัน หรือคิดเป็น 29.2% ของการปล่อยทั่วโลก
- ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน (422.39 ล้านตัน) และเป็นอันดับที่ 21 ของโลก รองจากอินโดนีเซียและเวียดนามในภูมิภาค
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดของโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเกิดจากการสะสมของ "ก๊าซเรือนกระจก" (Greenhouse Gases: GHGs) ในชั้นบรรยากาศ ที่หลักๆ ประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์, มีเทน, ไนตรัสออกไซด์, ก๊าซฟลูออไรน์ และไอน้ำ อันมีสาเหตุหลักจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า และการผลิตทางอุตสาหกรรม
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ยืนยันว่าปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยอ้างอิงจากข้อมูลระหว่างประเทศ 6 ชุดข้อมูล สิบปีที่ผ่านมาล้วนติดอันดับท็อปเท็น อุณหภูมิทำลายสถิติอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Advances in Atmospheric Sciences ระบุว่า ภาวะโลกร้อนในปี 2024 มีบทบาทสำคัญในการที่อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การศึกษานี้ซึ่งนำโดย ศาสตราจารย์ หลี่จิง เฉิง จากสถาบันฟิสิกส์บรรยากาศ สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน ระบุว่า มหาสมุทรมีอุณหภูมิอุ่นที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยบันทึกไว้ ไม่เพียงแต่ที่ผิวน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริเวณระดับความสูง 2,000 เมตรขึ้นไปด้วย งานวิจัยนี้ประกอบด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์ 54 คน จาก 7 ประเทศ และ 31 สถาบัน
ทั่วโลกปล่อย GHGs สูง 53,200 ล้านตัน
“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” (SET) สรุปข้อมูลรายงาน GHG Emissions of All World Countries 2025 ของหน่วยงาน The Emissions Database for Global Atmospheric Research (EDGAR) ซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิจัยร่วมแห่งสหภาพยุโรป (Joint Research Centre: JRC) และเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025
ฐานข้อมูล EDGAR (Emissions Database for Global Atmospheric Research) รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งสถิติระดับโลก เช่น International Energy Agency (IEA), Food and Agriculture Organization (FAO), United Nations (UN) และ World Bank จากนั้นดำเนินการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศด้วยวิธีการแบบ bottom-up ตามแนวทางของ IPCC โดยใช้ข้อมูลกิจกรรมจริงจากแต่ละภาคส่วน (พลังงาน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการใช้ที่ดิน) และตรวจสอบผลด้วยข้อมูลพลังงานและการสังเกตจากดาวเทียม เพื่อให้ได้ภาพรวมการปล่อย GHG ของทุกประเทศประจำปี 2025 ที่มีความเที่ยงตรงและสามารถเทียบเคียงได้ในระดับสากล
ในปี 2024 ทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂eq) ซึ่งถือเป็น ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นกว่า 665 ล้านตัน CO₂eq หรือราว 1.3% เมื่อเทียบกับปี 2566 ตามข้อมูลจากฐานข้อมูล Emissions Database for Global Atmospheric Research (EDGAR)
ทั้งนี้ ประมาณ 74.5% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกมาจาก คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil CO₂) โดยเฉพาะจาก ภาคพลังงาน ซึ่งยังคงเป็นแหล่งปล่อยหลัก คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของการปล่อยทั้งหมด
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2015–2024) แนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกยังคง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะชะลอตัวชั่วคราวในปี 2563 จากผลกระทบของวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกลดลง แต่หลังจากนั้นการปล่อยกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2024 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 1.05% ต่อปี ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
- ปี 2015 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 48.45 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2016 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 48.66 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2017 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 49.48 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2018 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 50.57 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2019 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 50.83 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2020 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 48.96 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2021 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 51.19 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2022 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 51.75 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2023 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 52.54 ล้านตัน CO₂eq
- ปี 2024 ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 53.21 ล้านตัน CO₂eq
10 กลุ่มหรือประเทศที่ปล่อย GHGs สูงสุด ปี 2024
ประเทศต่างๆ มีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกัน ทั้งจากโครงสร้างเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งกลายเป็นโจทย์สำคัญของประชาคมโลกในการร่วมมือกันลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อชะลอภาวะโลกร้อนและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน จากฐานข้อมูลการวิจัยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกรายประเทศ พบว่า 10 กลุ่มหรือประเทศที่ปล่อยสูงสุดในปี 2024 ได้แก่
- จีน 15,536 ล้านตัน CO2eq
- สหรัฐอเมริกา 5,913 ล้านตัน CO2eq
- อินเดีย 4,371 ล้านตัน CO2eq
- สหภาพยุโรป (EU27) 3,165 ล้านตัน CO2eq
- รัสเซีย 2,576 ล้านตัน CO2eq
- อินโดนีเซีย 1,324 ล้านตัน CO2eq
- บราซิล 1,299 ล้านตัน CO2eq
- ญี่ปุ่น 1,063 ล้านตัน CO2eq
- อิหร่าน 1,055 ล้านตัน CO2eq
- ซาอุดิอาระเบีย 839 ล้านตัน CO2eq
รวม 37,141 ล้านตัน CO2eq (69.7% ของโลก)
เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2024 กับปี 2023 พบว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก และทำสถิติใหม่สูงสุดที่ 15,536 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂eq) คิดเป็น 29.2% ของการปล่อยทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ในจำนวนนี้ 84.5% ของการปล่อยทั้งหมดเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) โดยมี ภาคพลังงาน เป็นแหล่งปล่อยหลัก รองลงมาคือ การเผาไหม้เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม และ กระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม ทั้งนี้ จีนยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ในอันดับสองของโลกถึง กว่า 2 เท่า
สำหรับประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในปี 2024 ได้แก่
- อินเดีย เพิ่มขึ้นมากที่สุดที่ 165 ล้านตัน CO₂eq
- จีน เพิ่มขึ้น 124 ล้านตัน CO₂eq
- รัสเซีย และ อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกันที่ 63 ล้านตัน และ 62 ล้านตัน CO₂eq ตามลำดับ
สหภาพยุโรป (EU27) ลดปล่อย GHGs ได้มากสุด
SET ระบุว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาวของ 10 ประเทศและกลุ่มประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดของโลกในปี 2024 โดยเปรียบเทียบกับปี 1990 ซึ่งถูกใช้เป็นปีฐาน (baseline year) ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) และพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) พบว่า
สหภาพยุโรป (EU27) เป็นภูมิภาคที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุด โดยลดลงเกือบ 35% จากระดับในปี 1990 ขณะที่ รัสเซีย ลดลงราว 15.7% และ สหรัฐอเมริกา ลดลงเกือบ 5%
ในทางกลับกัน กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กลับมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ จีน และ อินโดนีเซีย ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีฐาน ขณะที่ อินเดีย อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย มีการปล่อยเพิ่มขึ้นราว 2 เท่า และบราซิลเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งเท่าตัว
อินโดนีเซียปล่อย GHGs มากที่สุดในอาเซียน
- อันดับ 5 ของโลก: อินโดนีเซีย 1,323.78 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 17 ของโลก: เวียดนาม 584.26 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 21 ของโลก: ไทย 422.39 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 30 ของโลก: มาเลเซีย 332.17 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 34 ของโลก: ฟิลิปปินส์ 266.60 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 49 ของโลก: เมียนมา 117.79 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 65 ของโลก: สิงคโปร์ 76.09 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 82 ของโลก: กัมพูชา 49.83 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 92 ของโลก: ลาว 41.55 ล้านตัน CO₂eq
- อันดับ 139 ของโลก: บรูไน 11.87 ล้านตัน CO₂eq
รวมอาเซียน: 3,226.32 ล้านตัน CO₂eq
ในปี 2024 กลุ่มประเทศอาเซียนปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 3,226 ล้านตัน CO₂eq เพิ่มขึ้น 146 ล้านตัน CO₂eq หรือราว 4.7% จากปี 2023 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นเพียง 1.3% ส่งผลให้สัดส่วนการปล่อยก๊าซของอาเซียนต่อทั้งโลกขยับจาก 5.9% ในปี 2023 เป็น 6.1% ในปี 2024 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นของอินโดนีเซีย และเวียดนาม ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
และหากดูรายประเทศ พบว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซมากที่สุดในอาเซียน และมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ปริมาณ 1,323.78 ล้านตัน CO₂eq หรือคิดเป็น 41% ของการปล่อยทั้งหมดในอาเซียน
ด้านแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอาเซียน พบว่า บรูไน และเมียนมา เป็นเพียงสองประเทศในอาเซียนที่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ โดยลดลง 1.6% และ 0.4% ตามลำดับ ส่วนประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ เวียดนาม เพิ่มขึ้นถึง 7.6% รองลงมาคือ สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.1% และ อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 5.0% จากปีก่อนหน้า
ไทยอันดับ 3 อาเซียน อันดับ 21 ของโลก
จากฐานข้อมูลพบว่า ในปี 2024 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น 12 ล้านตัน CO₂eq หรือ 2.9% จากปี 2023
ก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ที่ไทยปล่อยประมาณ 67.2% เป็น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) รองลงมาคือ มีเทน (CH₄) 19.2% ก๊าซฟลูออโรคาร์บอน 9.3% และ ไนตรัสออกไซด์ (N₂O) 4.3% โดยก๊าซเรือนกระจกของไทยในปี 2567 จำแนกตามกิจกรรมเป็นดังนี้
- การผลิตไฟฟ้า 90.23 ล้านตัน CO2eq
- การขนส่ง 84.66 ล้านตัน CO2eq
- กระบวนการผลิต 71.10 ล้านตัน CO2eq
- การเกษตร 59.05 ล้านตัน CO2eq
- อุตสาหกรรม 50.87 ล้านตัน CO2eq
- การกำจัดของเสีย 27.58 ล้านตัน CO2eq
- การจัดการเชื้อเพลิง 23.59 ล้านตัน CO2eq
- ที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ 15.31 ล้านตัน CO2eq
เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลจาก ฐานข้อมูล EDGAR กับการปล่อย CO₂ จากการใช้พลังงาน ที่จัดทำโดย ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่าในปี 2024 ประเทศไทยปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 245.7 ล้านตัน CO₂ เพิ่มขึ้น 1.0% จากปี 2023 สอดคล้องกับการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น 1.1%
โดยในภาคการผลิตไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มขึ้น 5.1% ส่วนภาคการขนส่ง และภาคเศรษฐกิจอื่นๆ (ภาคครัวเรือน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และกิจกรรมอื่นๆ) ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มขึ้นเท่ากันที่ 0.5% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ลดลง 4.5%







