ไทยจ่อประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ บนเวที COP30 บราซิล ร่วมลดโลกร้อน

ประเทศไทยเตรียมประกาศยุทธศาสตร์ลดโลกร้อนฉบับใหม่ (NDC 3.0) ในการประชุมสมัชชาภาวะโลกร้อนแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 (COP30) ณ ประเทศบราซิล
KEY
POINTS
- ประเทศไทยเตรียมประกาศยุทธศาสตร์ลดโลกร้อนฉบับใหม่ (NDC 3.0) ในการประชุมสมัชชาภาวะโลกร้อนแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 (COP30) ณ ประเทศบราซิล
- ปรับเร่งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065 เป็นปี 2050
- ตั้งเป้าหมายปี 2035 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 109.2 ล้านตันจากปีฐาน 2019 โดยมุ่งเน้นภาคพลังงาน คมนาคม อุตสาหกรรม เกษตร และของเสีย
- จะนำเสนอความคืบหน้าความร่วมมือด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิตกับต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการที่ร่วมมือกับสิงคโปร์
ผู้นำจากทั่วโลกกำลังเตรียมพร้อมรวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อหารือแนวทางรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ในการประชุมสมัชชาภาวะโลกร้อนแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 (COP30)
ประเทศไทยเตรียมเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้พร้อมนำเสนอแผนรับมือโลกร้อนฉบับใหม่ พร้อมตั้งเป้าปรับเร่งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เร็วขึ้นอีก 15 ปี แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยในการก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และบทบาทที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นบนเวทีโลก
“ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พา” อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) ให้สัมภาษณ์กับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ โดยกล่าวว่า ประเทศไทยเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อเข้าร่วม COP30 ณ ประเทศบราซิล ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยมีวาระสำคัญในการนำเสนอเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (NDC 3.0) สำหรับปี 2035 ซึ่งเป็นการก้าวสำคัญที่แสดงความมุ่งมั่นของประเทศในการรับมือวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
“ที่ COP30 เราจะประกาศเป้าหมายปี 2035 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับข้อตัดสินใจของการประชุม COP และเป็นไปตามกรอบเวลาที่ทุกประเทศภายใต้อนุสัญญาฯ ต้องส่งเป้าหมายใหม่นี้จะเปลี่ยนทิศทางของประเทศไทยให้เข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 ซึ่งเป็นการเร่งเป้าหมายให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2065"
ลดก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตัน
เป้าหมายปี 2035 ของไทยเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกแบบค่าการปล่อยจริงสัมบูรณ์ (Absolute emission reduction) โดยเทียบกับปีฐาน 2019 ซึ่งในปี 2019 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 379 ล้านตัน เป้าหมายใหม่นี้ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกลงมา 109.2 ล้านตัน
โดยมุ่งเน้นการลดในภาคส่วนหลัก ได้แก่ พลังงาน, คมนาคมขนส่ง, อุตสาหกรรม, เกษตร และของเสีย แผนลงทุน : ใน NDC 3.0 ได้ระบุ Financial Investment Plan ปี 2035 ไว้แล้ว โดยต้องการเงินลงทุนประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดคาร์บอน 32.8 ล้านตัน (30% ของเป้าหมาย)
ในการลด 109.2 ล้านตันนี้ ถูกแบ่งสัดส่วนการดำเนินการออกเป็นสองส่วนหลัก
- 70% จะดำเนินการโดยใช้ขีดความสามารถของประเทศเอง
- 30% จะต้องพึ่งพากลไกสนับสนุนจากต่างประเทศ เช่น เงินช่วยเหลือ, เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, การลงทุน, หรือการค้ำประกัน ภายใต้กลไกของอนุสัญญาฯ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังตั้งเป้าเพิ่มการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้ ทั้งป่าธรรมชาติ และป่าเศรษฐกิจ (เช่น ป่ายางและปาล์ม) โดยตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากข้อมูลล่าสุดที่ 107 ล้านตัน ให้เพิ่มขึ้นเป็น 118 ล้านตัน
เมื่อนำผลของการลด 109.2 ล้านตัน และการเพิ่มการดูดกลับรวมกัน จะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (Net Emission) ของประเทศไทยในปี 2035 อยู่ที่ 152 ล้านตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับทิศทางสู่ Net Zero 2050
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อ 6.2
อีกประเด็นสำคัญที่ไทยจะนำไปแสดงใน COP30 คือ ความคืบหน้าของความร่วมมือภายใต้ข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก และการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ
ประเทศไทยได้ทำสัญญาความร่วมมือไปแล้วกับหลายประเทศ รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น (ภายใต้กลไก JCM) และล่าสุดได้มีการลงนามสัญญากับ สิงคโปร์ ซึ่งความร่วมมือระหว่างไทย และสิงคโปร์จะมีการประกาศเปิดตัว โครงการอย่างเป็นทางการใน COP30
โครงการนำร่องที่กำลังพัฒนา และหารือร่วมกันกับสิงคโปร์ ได้แก่ โครงการ ป่าชายเลน และโครงการด้าน การจัดการขยะอาหาร ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกของโลกที่มีการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตจริงภายใต้ข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส โดยมีโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมแล้วคือ โครงการ รถเมล์ไฟฟ้า (EV) ของไทย สมายล์ บัส (Thai Smile Bus) ที่ให้บริการในกรุงเทพฯ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







