กองทุนภูมิอากาศ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน กลไกสินเชื่อ เพื่อภาคธุรกิจปรับตัว

"กองทุนภูมิอากาศ" ส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป้าหมายระยะยาวเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นประเทศ Net Zero เงินสนับสนุนแก่ธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โอกาสสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
KEY
POINTS
- "กองทุนภูมิอากาศ" ส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- เป้าหมายระยะยาวเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นประเทศ Net Zero
- เงินสนับสนุนแก่ธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- โอกาสสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
- ตัวช่วยภาคธุรกิจเข้าถึงตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับ ESG
- ธุรกิจที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจต้องเผชิญกับความท้าทาย
- ทุกสายตาจับจ้องไปที่ ครม. ว่าจะผลักดัน พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ออกมาเมื่อไหร่
เมื่อโลกทั้งใบกำลังต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยเองก็ไม่อาจนิ่งเฉย รัฐบาลกำลังวางรากฐานเพื่อสร้างกลไกทางการเงินที่มีเป้าหมายชัดเจน ช่วยให้ธุรกิจและภาคประชาชนสามารถรับมือกับวิกฤตโลกร้อนได้อย่างเป็นระบบ นี่คือที่มาของ กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) ภายใต้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือที่เรียกกันว่า พ.ร.บ.ลดโลกร้อน
ซึ่งไม่ใช่แค่แผนปฏิบัติการทางนโยบาย แต่เป็นครั้งแรกที่ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) หรือ กรมลดโลกร้อน ได้เสนอให้จัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายระยะยาวเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นประเทศ Net Zero
กองทุนนี้ทำหน้าที่ให้เงินสนับสนุนแก่ธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่อาจเผชิญกับต้นทุนสูงในการปรับตัว พวกเขาจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือแม้แต่เงินทุนสนับสนุนแบบให้เปล่า เพื่อใช้ในโครงการต่างๆ ตั้งแต่การ ปรับกระบวนการผลิตให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง ไปจนถึง การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน อย่างโซลาร์เซลล์และไฮโดรเจน
กรมลดโลกร้อน เองก็เร่งเดินหน้าผลักดันเรื่องนี้ โดยกำลังหารือกับ กรมบัญชีกลาง ซึ่งดูแล พ.ร.บ.ทุนหมุนเวียน เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างทางกฎหมายของกองทุนนี้จะมีประสิทธิภาพและสามารถดำเนินงานได้จริง
ถึงแม้ว่า พ.ร.บ.ลดโลกร้อนยังไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่เบื้องหลังมีการดำเนินงานคู่ขนานเพื่อสร้างกรอบกฎหมายที่รองรับกองทุนนี้อยู่แล้ว
คำถามสำคัญคือ กองทุนนี้จะได้เงินมาจากไหน? แหล่งเงินหลักคือ การขายสิทธิ์ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านระบบคาร์บอนเครดิต ซึ่งแบ่งเป็นแบบสมัครใจและแบบซื้อขายระหว่างประเทศที่ต้องได้รับการรับรองจากรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมจากคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ และรายได้จากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ภาษีคาร์บอน นอกจากนั้น รัฐบาลจะสนับสนุนกองทุนผ่าน งบประมาณรายจ่ายประจำปี ขณะเดียวกัน ค่าปรับจากบทกำหนดโทษด้านสิ่งแวดล้อม ก็เป็นอีกช่องทางที่ช่วยเสริมรายได้
สำหรับองค์กรที่มุ่งสู่ ธุรกิจคาร์บอนต่ำ หรือเศรษฐกิจสีเขียว นี่คือโอกาสสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจได้รับ สิทธิประโยชน์ทางภาษี และมีโอกาสเข้าถึงตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับ ESG
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ธุรกิจที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจต้องเผชิญกับความท้าทาย อาจมีข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นในการรายงานข้อมูล และอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นหากไม่ปรับตัวตามมาตรฐานใหม่
ไทยพร้อมหรือยัง? นี่คือคำถามสำคัญ แม้ว่ากองทุนภูมิอากาศจะเป็นก้าวสำคัญ แต่ความสำเร็จของมันขึ้นอยู่กับ ความโปร่งใสในการบริหารจัดการและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน
หากกองทุนนี้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ ลดโลกร้อนได้จริง แต่หากขาดการจัดการที่ดี ก็อาจกลายเป็นเพียงโครงการหนึ่งที่ขาดความต่อเนื่อง
ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ ครม. ว่าจะผลักดัน พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ออกมาเมื่อไหร่ เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ และอนาคตของประเทศ