ราคาน้ำมันทรงตัว แม้ OPEC+ เพิ่มโควตาการผลิต

สถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ช่วงนี้มีทิศทางทรงตัว ถึงแม้ กลุ่ม OPEC+ เพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่อง โดย ราคาน้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหวในกรอบ 67-70 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ขณะที่ WTI อยู่ช่วง 63-67 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล แม้ประธานาธิบดีสหรัฐและรัสเซียได้เริ่มต้นเจรจายุติ สงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ยังไม่มีความคืบหน้า

ขณะที่แนวโน้มเดือนกันยายน ถึงตุลาคม ตลาดน้ำมันจะทรงตัวและเคลื่อนไหวในกรอบ 65-70 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจาก OPEC+ หรือการคลี่คลายความตึงเครียดสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ชัดเจน

กลุ่ม OPEC+ มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบอีก 547,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนกันยายน ทำให้บรรลุแผนเพิ่มกำลังผลิตรวม 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 1 ปี

เมื่อรวมกับการเพิ่มโควตาการผลิตของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 300,000 บาร์เรล/วัน ส่งผลให้ปริมาณการผลิตสะสมตั้งแต่เมษายนถึงกันยายนเพิ่มขึ้นรวม 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ส่วนความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน ยังคงสร้างความผันผวนในตลาด หลังสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียจาก 25% เป็น 50% เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เพราะอินเดียยังนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียต่อเนื่อง 

ในขณะเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง หลังมาตรการภาษีของสหรัฐแบบเจาะจงรายประเทศ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม สร้างแรงกดดันต่อ เศรษฐกิจโลก

ขณะที่ตลาดแรงงานของสหรัฐชะลอตัว อัตราการว่างงานเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 0.1% เทียบกับเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ ระดับ 4.2% ยังต้องจับตาธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะผ่อนปรนนโยบายทางการเงินในการประชุมในเดือนกันยายนหรือไม่

นอกจากนี้ มีปัจจัยสำคัญอื่นที่มีผลกระทบ ฤดูกาล hurricane ในมหาสมุทรแอตแลนติกจะรุนแรงในช่วงกันยายน ถึงตุลาคม ซึ่งอาจกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบบริเวณอ่าวเม็กซิโก ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบรวมถึง 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 14% ของการผลิตน้ำมันดิบทั้งหมดของสหรัฐ ซึ่งหากปัจจัยดังกล่าวกระทบอุปทานน้ำมัน ก็จะทำให้ ราคาน้ำมันดิบโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้น