'กรุงศรี' ชี้อานิสงส์ AI-5G ดึงลงทุน Data Center ในไทยโต
นักวิเคราะห์กรุงศรีฯ เปิดผลวิจัย ดาต้าเซ็นเตอร์ไทยโต อานิสงส์ AI-5G หนุนลงทุนต่างชาติพุ่งสูงขึ้น ยันไทยมีพลังงานรองรับมั่นคง
"ซีเมนส์" ร่วมกับ "กรุงเทพธุรกิจ" จัดงาน "Siemens Data Center Conference 2025 : Redefining Data Center Infrastructure" เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับเทรนด์การใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต
นายรพีภูมิ ลาภมาก นักวิจัยกรุงศรี กล่าวในหัวข้อ Industry Outlook : Data Centre ว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ที่ออกแบบเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยคน ให้การทำงานราบรื่นตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สามารถแบ่งประเภทของดาต้าเซ็นเตอร์คือ การสร้างขึ้นมาโดยเจ้าของและให้ลูกค้าได้เชื่อมต่อเพื่อใช้งาน ส่วนคลาวด์ดาต้าเซ็นเตอร์ แบ่งเป็น 4 ระดับของเทคโนโลยี โดยระดับ 4 ถือเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดช่วยให้การทำงานต่อเนื่องทั้งปีหยุดพักแค่ 26 นาทีเท่านั้น
โครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ ประกอบ 4 ส่วน คือ ระบบเซิร์ฟเวอร์ จัดเก็บข้อมูล โครงสร้างเครือข่าย และระบบช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่นไฟฟ้าสำรอง ประเทศไทยมีดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งหมด 42 แห่ง โดย 37 แห่ง อยู่ใน กรุงเทพฯ และอีก 5 แห่ง กระจายตามหัวเมืองต่างๆ โดยอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยปี 2023 มีมูลค่า 7.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 9.1% จากปี 2022 โดยปี 2024 จะมีรายได้เติบโต 5.5-6.5% ซึ่งโครงสร้างหลัก Network Infrastructure อยู่ที่ 71.2% และเซิร์ฟเวอร์ และ Storage เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มการเติบโต 5 ปีที่ผ่านมานั้น ปี 2020 Storage Server สัดส่วนรายได้ยังไม่เยอะเมื่อเทียบรายได้รวมทั้งหมด แต่เมื่อดูปี 2023-2024 รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะข้อมูลที่ใช้ทุกวันมีการประมวลผลมากขึ้น ดังนั้น รายได้ทั้ง 2 ส่วนนี้มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในอนาคต ซึ่งการเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์ จึงสะท้อนได้จาก อินเทอร์เน็ต Bandwidth เพื่อรับส่งข้อมูลซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Bandwidth ในต่างประเทศ และต่างประเทศ
"สัดส่วนปี 2026 หากเทียบสัดส่วนภายในและนอกประเทศสัดส่วนอยู่ที่ 1 ต่อ 1 แต่เมื่อขยับปี 2023-2024 สัดส่วนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น 60% สะท้อนการใช้งานในไทยเชื่อมโยงข้อมูลในต่างประเทศมากขึ้น โดย ปี 2019-2024 Bandwidth เติบโต 19% ต่อปี การเติบโต Bandwidth มากขึ้นในอนาคต มาจากการเก็บข้อมูลและการรวบรวมข้อมูล"
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ไทยมียอดการรับการลงทุนจากต่างชาติสูงขึ้น ปี 2024 มียอดขอรับการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์กว่า 2.4 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ เช่น Amazon Web Services ลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท, Google ลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท รวมถึง Microsoft แม้จะไม่ระบุเม็ดเงิน โดยส่วนใหญ่มาจากสหรัฐ จีน และสิงคโปร อีกทั้ง แรงส่งยังคงส่งต่อมาถึงปีนี้ โดยต้นปีมีบริษัทย่อยของ TikTok ลงทุนกว่า 1.2 แสนล้า
"เดือนมี.ค. ปีนี้ มีบริษัทจีนที่สนใจลงทุนอีกกว่า 7 หมื่นล้านบาท รวมถึงการร่วมทุนระหว่างกลุ่ม GULF กว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ไตมาร1ปีนี้ มียอดขอลงทุนสูงถึง 9.4 หมื่นล้านบาท ถือว่าเติบโต 500% หรือ 5 เท่าเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อีกทั้ง BOI ได้เปิดเผยข้อมูลว่าจะมีการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ 5 แห่ง เม็ดลงทุนกว่า 9 หมื่นล้านบาท"
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยดึงดูดแบ่งเป็น 6 ปัจจัย คือ 1. ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่มีเสถียรภาพน่าเชื่อถือ สิ่งนี้สำคัญมากในการดำเนินธุรกิจเพราะการหยุดพักหรือไฟดับ 1 ครั้ง จะสร้างต้นทุนมหาศาล ไทยมีแหล่งที่มาของพลังงานหลายแหล่ง ทั้งน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซฯ และยังมีพลังงานหมุนเวียน ทำให้ไทยมีดัชนีความน่าเชื่อถือดัชนีไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เรามีไฟดับต่อครั้งต่อคนที่ 0.5 ครั้งต่อคนต่อปี การดับแต่ละครั้งคิดเป็นระยะเวลา 15 นาที หรือประมาณ 0.2 ชัวโมง
2. ความเร็วอินเตอเน็ตและการครอบคลุม 5 จี ไทยมีอินเทอเน็ตความเร็วสูงอันดับ 6 ของโลก และมี 5จีครอบคลุมสูงอันดับ 2 อาเซียน 3. ผู้ลงทุนสามารถเชื่อมต่อผู้ให้บริการในและต่างประเทศง่าย ช่วยเพิ่มปริมาณข้อมูลที่สามารถมารองรับความเร็วในการเปลี่ยนผ่านข้อมูล รองรับบริการด้านดิจิทัลอนาคตที่ซ้ำซ้อนมากขึ้น จะช่วยเพิ่มบริมาณข้อมูลที่รองรับได้
4. เรามีการเติบโตอุปสงภายในประเทศที่เติบโตตามเศรษฐดิจิทัล 5. มีจุดตั้งยุทศาสตร์ที่สำคัญในใจกลางอาเซียน สามารถเชื่อมโยงต่างประเทศได้ง่าย และ 6. ค่าก่อสร้างการเข้าถึงแหล่งที่ดิน ไทยมีค่าก่อสร้างถูกและเข้าถึงที่ดินได้มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบประเทศที่เป็นศุนย์กลางปัจจุบันอย่าง สิงคโปร์
สำหรับแนวโน้มระยะข้างหน้า ปี 2025-2027 คาดว่ารายได้อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย จะเติบโต 7.5-8.5% ต่อปี ซึ่งมาจาก 3 ส่วนคือ 1. การเพิ่มขึ้นของการใช้อินเทอร์เน็ตทุกภาคส่วน โดยปี 2024 ไทยมีใช้จ่ายผ่าน E-Payment ที่ 4.9 ล้านล้านบาท เติบโต 10-14% ต่อปี เป็น 8.7 ล้านล้านบาทปี 2030 โดยมูลค่าซื้อขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ จะโตมากกว่า 2 เท่า และจะโต 15% ต่อปี ส่วนการพัฒนา 5G จะเป็นปัจจัยสำคัญรองรับบริการ โดยปี 2025 คาดว่าในจำนวนคนใช้มือถือทั้งหมดในไทยมี 45% ใช้ 5G จะเติบโต 94% ในปี 2030
2. การเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล โดยปี 2025 มีรายได้จากอุตสาหกรรมคลาวด์ในไทย 8 หมื่นล้านบาท จะเติบโต 2 เท่าต่อปี ถือเป็นการเติบโตของทุกภาคส่วนที่มีการใช้คลาวด์มากขึ่นเพราะถูกและปลอดภัย ภาคธุรกิจปรับใช้มากขึ้นมีความยืดหยุนการดำเนินการ ซึ่งภาครัฐผลัดดันใช้มากขึ้น ผ่าน "คลาวด์เฟิร์สโพลิซี" ที่ตั้งเป้าหมายพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ดึงเงินลงทุนต่างชาติ โดยคาดว่าจะเริ่มใช้เดือนต.ค. ปีนี้ และอีกปัจจัยคือการเติบโตของ IoT โดยรายได้ปี 2023-2029 โดย IoT ในทุกอุตสาหกรรมมีการเติบโตสูง
3. การเข้ามาของ AI ที่เพิ่มขึ้นสูง จากรายได้โลก ปี 2024 มีมูลค่า 211 พันล้านดอลลาร์ และจะเติบโตกว่า 8 เท่า เป็น 1620 ล้านดอลลาร์ หรือ เติบโต 19% หากเทียบในไทย 17.8% คือตัวเลขขององค์กรในไทยใช้ AI แม้อาจจะดูไม่เยอะถือว่าโต 15.3% ของปีก่อน โดยระยะข้างหน้า 73.3% คือตัวเลขขององค์กรในไทยที่มีการวางแผนที่จะใช้ AI ในอนาคต คล้องการประยุคใช้ AI ในอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจัยที่ 1 และ 2 มีอยู่แล้วและดำเนินอยู่ แต่ปัจจัยที่ 3 จะเป็นตัวเร่งให้สำคัญให้เกิดการเติบโตคือการประยุกใช้ AI
สำหรับความเสี่ยงที่ต้องจับตามองในระยะข้างหน้า คือ 1. ผลกระทบภาษีสหรัฐ เกิดความไม่แน่นอนของโลกสูงขึ้น คาดว่าการลงทุนภูมิภาคอาเซียนมีการชะลอเพื่อรอดูสถานการณ์ รวมถึงรอดูค่าการลงทุนแม้อาจจะไม่ยกเลิก แต่จะรอดูผลกระทบเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งโควิด สงครามรัสเซีย-ยูเครน 2. ในระยะยาวยังเติบโตได้เพราะบนิษัทต้องกระจายความเสี่ยงการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น และการย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่เป็นมิตรเช่น ไทย และ 3. การเติบโตของ AI ยังมีแนวโน้มเติบโตสูง เรายังต้องการโครงสร้างพื้นฐานทั้ง ดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ และ AI
"ปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องจับตามองคือราคาและการพึ่งพาพลังงาน ไฟฟ้าที่ดับแต่ละครั้ง ความผันผวนกระทบต่อความสามารถอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ หากขาดแคลนพลังงานจะทำให้การสเกลขยายยาก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ซึ่งการวางแผนอุตสาหกรรมต้องใช้เวลา 4-5 ปี แต่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเร็วมากใน 1 ปี และการปรับัวเข้าสู่ ESG ด้วยด้าต้าเซ็นเตอร์ต้องใช้พลังงานสูงและมีขยะอิเล็กทรอนิกส์มหาศาล การเปลี่ยนผ่านจะต้องเข้ากับกฎระเบียบจึงต้องเพิ่มต้นทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"