'กรุงศรี' เตือนสงครามการค้ายืดเยื้อ กดดันเศรษฐกิจไทยเปราะบาง

นักเศรษฐศาสตร์กรุงศรีฯ เตือน สงครามการค้ายืดเยื้อ ทำเศรษฐกิจไทยเปราะบาง เผชิญ 3 มรสุม "แผ่นดินไหว-นักท่องเที่ยวหด-สงครามการค้า" กด GDP ลงเหลือ 2.1% จาก 2.7%
"ซีเมนส์" ร่วมกับ "กรุงเทพธุรกิจ" จัดงาน "Siemens Data Center Conference 2025 : Redefining Data Center Infrastructure" เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับเทรนด์การใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต โดยผู้ร่วมรับฟังสัมมนายังได้รับชมการสาธิตแนวทางออกแบบและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซนเตอร์ให้ทันสมัย ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด อาทิ Liquid Cooling สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, Skid Solutions เร่งการติดตั้งแบบยั่งยืน, ระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีแม่นยำสูงด้วยเซนเซอร์ตรวจจับควันแบบสุ่มอากาศชนิด Dual Wavelength, การออกแบบที่ใช้โมดูลาร์: ระบบจ่ายพลังงานที่สามารถปรับขยายได้ เป็นต้น
นายศุภสิน อิทธิพัทธ์วงศ์ นักเศรษฐศาสตร์ วิจัยกรุงศรี กล่าวในหัวข้อ "Global Economic Outlook and Impact of Trade War" ว่า จากสงครามการค้าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในหลายประเทศทั่วโลก จะเห็นว่าจีนโดนขึ้น 145% ส่วนจีนตอบโต้กลับปรับขึ้น 125% ต่อมาทั้ง 2 ตกลงลดภาษีระหว่างกันในช่วงกลางเดือนพ.ค. ที่ผ่านมาเป็นการชั่นคราว 90 วัน
ส่วนไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ยังโดนขึ้นภาษีในอัตราที่สูง ซึ่งไทยโดน 36% และลดเหลือ 10% เป็นระยะเวลา 90 วันเพื่อให้เวลาเจรจา ล่าสุดปลายเดือนพ.ค. ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯได้ระงับการขึ้นภายใต้กฏหมายทางเศรษฐกิจฉุกเฉินเป็นการชั่วคราว
ส่วนภาษีที่เก็บเป็นรายสินค้าจะยังมีผลบังคับใช้ปกติ เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม ที่ไทยโดนปรับขึ้นเท่าตัว เป็นต้น จึงเชื่อว่าในระยะข้างหน้าสหรัฐจะยังมีเครื่องมืออีกหลายตัวที่จะเก็บภาษี อีกทั้ง ยังสามารถขยายมาตรการเดิมและขยายตัวควบคุมมากขึ้น
ดังนั้น สงครามการค้าจะยังอยู่กับเราต่อไปและส่งผลกระทบต่อโลกในระยะยาว ซึ่งสหรัฐจะเจ็บเองและมากกว่าประเทศอื่น สุดท้ายจะได้ไม่คุ้มเสีย โดยเศรษฐกิจสหรัฐ มีสัญญาณที่หดตัวยอดการชำระหนี้น้อยลง การผิดนัดชำระหนี้บัตรเพิ่มขึ้น ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
ส่วนสหภาพยุโรปยังเกิดความเสี่ยง การไหลทะลักของสินค้าจีนในระยะยาว การนำเข้าสินค้ายุโรปจะสูงขึ้น ซึ่งกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เครื่องนุ่งห่มและเครื่องจักรชะลอตัวลง ส่วนญี่ปุ่นการผลิตอ่อนแอ ผู้บริโภคยังไม่ฟื่นตัว ส่วนจีนโดยรวมยังเปราะบาง การบริโภคภายในประเทศอ่อนแอ การค้าปลีกขยายตัวต่ำ ผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมจากสงครามการค้าที่จำกัด จีนพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก แต่ก็มีการรับมือที่ดีพอต่อภาษีสหรัฐ เพราะยังมีกระสุนทางการคลังมากพอ
ดังนั้น ประเทศไหนที่มีความอ่อนแอเป็นทุนเดิมก็จะประสบปัญหา แม้ไตรมาสแรกจะมีการขยายตัวด้านส่งออกสูง แต่ยังมีความเสี่ยงด้านแรงกดดันภายใน เช่น 1. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมซึ่งแม้จะเป็นตัวเลข 2 หลัก แต่มาจากการระบายสินค้า การส่งออกจึงไม่ส่งผลบอกต่อเนื่อง
2. การบริโภคที่แผ่วลง แม้จะมีโครงการแจกเงินดิจิทัลและ 3. การลงทุนก็ไม่เหนี่ยวนำการลงทุนของภาคเอกชน เพราะยังกังวลปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศ และความไม่แน่นอนเศรษฐกิจรวมถึงภาษีสหรัฐ
"ปีนี้กรุงศรีได้ลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลงจาก 2.7% เหลือ 2.1% จาก 3 ปัจจัย คือ 1. ผลกระทบจากแผ่นดินไหว 2. นักท่องเที่ยว เช่น จีนที่ยังคงกังวลด้านความปลอดภัย และ 3. สงครามการค้าที่ไทยเสี่ยงเผชิญการขึ้นภาษีนำเข้า ส่วนแรงหนุนหลัก คือ ภาคส่งออก การใช้จ่ายภาครัฐ และการท่องเที่ยว ซึ่งปีนี้นักท่องเที่ยวถือว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา"
สำหรับผลกระทบรายอุตสาหรรม จากการขึ้นภาษีสหรัฐ ยังคงระยะยาวบางอุตสาหกรรมอาจจะได้รับผลบวกบ้างจากสินค้าจีนและสินค้าในสหรัฐที่มีราคาสูง แต่ในหลายอุตสาหกรรมก็ได้รับผลกระทบ รวมถึงกระทบของการไหล่ทะลักจากสินค้าจีน จากปัจจัยหลัก เช่น ภาคอุปทานสูงเกินจากภาคการผลิต เกิดสินค้าล้นตลาด จึงต้องระบายสินค้า และการขึ้นภาษีนำเข้าซึ่งกระทบตั้งแต่นโยบายทรัมป์1.0 จากเทรนด์วอร์จีนกับสหรัฐ เกิดการกระจายสินค้าออกมาไทยและอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น สิ่งที่น่ากังวลหลังโควิด ไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น การผลิตในประเทศชะลอตัว กระทบต่อรายอุตสาหกรรม 3 กลุ่ม คือ 1. อาจจะสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน การส่งออกทรงตัว การนำเข้าสินค้าจีนอยู่ในระดับสูง 2. จีนใช้ไทยเป็นฐานการส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี เกิดมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด และ 3. อาจเผชิญในระยะข้างหน้า โดยการขึ้นภาษีรอบใหม่นี้ จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการไหลทะลักของสินค้าจีน การส่งออกจีนไปสหรัฐจะลดลง และไทยมีแนวโน้มนำเข้ามากขึ้นจากจีนหลัก 5 พันล้านดอลลาร์
"อุตสาหกรรมที่มีความอ่อนแอเป็นทุนเดิมจะมีแนวโน้มหดตัวต่อระยะยาว กุล่มที่มีความเสี่ยงที่จีนใช้ไทยเลี่ยงภาษีนำเข้า เช่น กลุ่มยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่งที่มีการถือครองบริษัทโดยต่างชาติ จึงสร้างความเสี่ยงให้ไทย และในด้านหนึ่งไทยเผชิญความเสี่ยงราคาของสินค้าจีนการออกมาตรการรับมือจากสงครามการค้าและการไหลทะลักสินค้าจีน คือ รอบคอบ รอบด้าน รัดกุม และรวดเร็ว"







