'พิพัฒน์' ชูนโยบาย 'เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษท่องเที่ยว' ปั้นรายได้ให้ชุมชน

'พิพัฒน์' ชูนโยบาย 'เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษท่องเที่ยว' ปั้นรายได้ให้ชุมชน

"พิพัฒน์" ชูนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษท่องเที่ยว สร้างรายได้ท่องเที่ยว 25% ต่อจีดีพี สร้างแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนมากขึ้น ชี้นโยบายลดรายจ่าย ตั้งกองทุนกรมธรรม์ผู้สูงอายุรายละ 1 แสนบาทขอกู้เงินได้ 2 หมื่นบาท หนุนตั้งกองทุนฯส่งเสริมสตาร์ทอัพสร้างผู้ประกอบการไทย

วันนี้ (30 มี.ค.) ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ร่วมเวทีตอบคำถามจากภาคธุรกิจ พร้อมนำเสนอนโยบาย ในงานเสวนา “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” ซึ่งจัดขึ้นโดยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนภาคธุรกิจ เอกชน ทั่วประเทศ และตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วม

นายพิพัฒน์กล่าวว่านโยบายของพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยในส่วนของการหารายได้พรรคมีนโยบายในการนำรายได้จากการพัฒนาการท่องเที่ยวมาพัฒนาประเทศโดยในปี 2570 จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 25% ของจีดีพีซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 5.7  - 6 ล้านล้านบาท ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อมีรายได้จากการท่องเที่ยวแล้วจะทำรายได้ของภาคการท่องเที่ยวคือทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวกระจายสู่ชุมชนให้ได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในลักษณะของคำว่า BCG เพื่อสร้างการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ทั้งนี้พรรคมีนโยบายในการพัฒนา “เขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการท่องเที่ยว” ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี และอำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา โดยจะประกาศให้เป็นพื้นที่พิเศษสำหรับการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในเรื่องของเขตปลอดภาษีเพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทยมากขึ้น แทนที่นักท่องเที่ยวจะไปสิงคโปร์ ฮ่องกงยุโรป แต่จะมาให้มาซื้อสินค้าในประเทศไทยมากขึ้น

สำหรับเรื่องการลดรายจ่ายนั้นพรรคเสนอนโยบายการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เช่นจะหาวิธีว่าจะทำอย่างไรในเรื่องการลดรายจ่ายของกลุ่มเปราะบางซึ่งนโยบายก็คือจะทำในเรื่องของกองทุนผู้สูงวัยโดยมีกรมธรรม์ประกันชีวิตให้เมื่อเสียชีวิตได้ 100,000 บาทต่อราย โดยกรมธรรม์ 100,000 บาทสามารถนำไปใช้กู้ฉุกเฉินเป็นวงเงิน 20,000 บาทมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้และเมื่อเสียชีวิตก็จะหักจากกรรมธรรม์ไป

สำหรับนโยบายการพักหนี้ ทั้งต้นทั้งดอกเบี้ยนั้นเสนอให้มีการพัก 3 ปี โดยไม่มีการเอาดอกเบี้ยมาทบที่ปลายสัญญาเพื่อไม่ให้เป็นภาระผู้กู้เงินระยะยาว

ส่วนผู้ป่วยนั้นจะมีศูนย์มะเร็งทุกจังหวัด  ศูนย์ไตทุกอำเภอ สามารถรักษาในอำเภอของตัวเองได้โดยไม่ต้องเดินทางมารักษาในเมือง

ส่วนคำถามว่าการส่งเสริมจำนวนและคุณภาพของสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้มีมากขึ้นทัดเทียมคู่แข่งในอาเซียนพรรคภูมิใจไทยจะทำอย่างไรนั้น นายพิพัฒน์กล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกตอนนี้เรื่องของสตาร์ทอัพถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ

ภูมิใจไทยจะส่งเสริมต่อยอดสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในประเทศ โดยมาตรการการส่งเสริมแต่ต้องทำทั้งในเรื่องของการส่งเสริมการลงทุนมาตรการทางภาษีที่สำคัญคือต้องให้ความสำคัญกับแหล่งเงินทุนของสตาร์ทอัพ ซึ่งจะต้องทำให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น

 

รวมทั้งบริษัทต่างๆที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทยจะต้องมีการส่งเสริมและดูแลสตาร์ทอัพในแต่ละบริษัทขนาดใหญ่สามารถที่จะประกวดหาสตาร์ทอัพเพื่อจะค้นหาสตาร์ทอัพที่มีความสามารถและมีการส่งเสริมให้ทำธุรกิจในประเทศไทยไม่ให้ไปยังต่างประเทศ

 

โดยรัฐบาลควรจัดตั้งกองทุนสำหรับสตาร์ทอัพและการทำวิจัยเพื่อให้สตาร์ทอัพมีบทบาทที่จะแสดงความสามารถในการคิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆเพื่อ สร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว