‘เอ็นอาร์เอฟ’ สร้างฐานทัพค้าปลีกในอังกฤษ ต่อจิ๊กซอว์ทำรายได้เกิน 50% ใน 3 ปี
เป้าหมายตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ “เอ็นอาร์เอฟ” ต้องการลุยธุรกิจครบวงจรทั้งการเป็นโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ซอส มีสินค้าจากพืชหรือแพลนท์เบส และเติมเต็มปลายน้ำด้วยการมีช่องทางจำหน่ายผ่านโลกออนไลน์หรือ “อีคอมเมิร์ซ”
ทว่า จิ๊กซอว์ที่เพิ่มมาคือ “ค้าปลีก” ที่จะช่วยเสริมแกร่งช่องทางจำหน่ายสู่การเป็น “ออมนิแชนแนล”(OmniChannel) ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปซื้อกิจการห้างค้าปลีก 2 รูปแบบในประเทศอังกฤษ ได้แก่ Chuanglee ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกเงินสด(Cash&carry) 1 สาขา และ SEEWOO CHINATOWN รูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต 1 สาขา และกำลังเจรจาซื้อกิจการห้างค้าปลีกที่มีเครือข่ายสาขา (เชนสโตร์) อีกราว 10 สาขา
“โมเดลธุรกิจเราไม่เปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เสนอขายหุ้นไอพีโอ เอ็นอาร์เอฟยังเป็นโรงงานผลิตสินค้าอาหารสำเร็จรูป ซอส แพลนท์เบส และปลายน้ำ ซึ่งเดิมมีอีคอมเมิร์ซ แต่ตอนนี้เพิ่มมาคือห้างค้าปลีก เป็นช่องทางหน้าร้านแบบออนไลน์ อนาคตจะต่อจิ๊กซอว์ให้ครบ มีกิจการฟาร์มเกษตรเป็นของตัวเอง” แดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ฉายภาพ
การขับเคลื่อนธุรกิจภายใน 3 ปีข้างหน้า จะเห็นค้าปลีกมีบทบาทมากขึ้น นอกจากการเติมเต็มหน้าร้าน ช่องทางดังกล่าวยังช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ เป็นพื้นที่ในการโชว์ ชวนชิมสินค้า เพราะจากนี้ไปเอ็นอาร์เอฟ จะให้น้ำหนักกับการสร้างแบรนด์ของตัวเอง เนื่องจากอัตราการทำ “กำไร”มากกว่า 40% เทียบรับจ้างผลิต(โออีเอ็ม) ที่ทำกำไรราว 33-35%
จุดแข็งที่จะเห็นคือการซื้อกิจการห้างค้าปลีก 10 สาขาในประเทศอังกฤษ หากดำเนินการสำเร็จ คาดจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจค้าปลีกมากกว่า 50% จากปี 2566 สัดส่วนราว 11% ปี 2567 คาดการณ์แตะ 20% ส่วนหนึ่งเกิดจากการรับรู้รายได้ของ 2 กิจการ Chuanglee และ SEEWOO CHINATOWN ที่รวมกันมูลค่าจะเกินกว่า 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนราว 700 ล้านบาท(เฉพาะ SEEWOO CHINATOWN ยอดขายเกินกว่า 400 ล้านบาท)
“หากปิดดีลรีเทล 10 สาขาได้ เราจะเป็นเชนห้างค้าปลีกโกรเซอรีใหญ่สุดในอังกฤษ เชื่อว่า 3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้รีเทลจะเกินกว่า 50% และยอดขายสินค้าแบรนด์ของบริษัทจะโตตามไปด้วย สานเป้าหมายเอ็นอาร์เอฟที่ต้องการนำสินค้าที่ผลิตไปขายในห้างค้าปลีกอยู่แล้ว”
แดน ปฐมวาณิชย์ แม่ทัพเอ็นอาร์เอฟ
สำหรับปี 2567 บริษัทยังเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง เตรียมงบลงทุนปกติ(CAPEX) สูงกว่าปี 2566 ซึ่งใช้เกือบ 400 ล้านบาท โดยรวมกับงบเข้าซื้อกิจการห้างค้าปลีกในอังกฤษแล้ว เบื้องต้นปีนี้จะเพิ่มไลน์การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรองรับการเติบโตที่ร้อนแรงมาก เดือน เม.ย.กำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่ม 3 เท่า เป็น 4,000 ตันต่อเดือน จากเดิมผลิต 1,800 ตันต่อเดือน
บริษัทยังมองหาโอกาสในการซื้อและควบรวมกิจการฟาร์มการเกษตร เช่น ฟาร์มปลูกพริก รองรับการผลิตซอสพริกศรีราชาแบรนด์ “โอชา” หลังร่วมทุนกับ สยาม เฮลท์ กรุ๊ป ในการสร้างแบรนด์ไทยสู่แบรนด์แชมป์เปียนระดับโลก
“เราอยากมีโกลบอลแชมป์เปี้ยนแบรนด์จากประเทศไทย จึงลุยทำตลาดซอสพริกศรีราชา บริษัทอยากมีฟาร์มเกษตรในไทย เพื่อสนับสนุนเกษตรกร ส่วนรีเทลจะโฟกัสในอังกฤษ ซอสพริกศรีราชาหากประสบความสำเร็จในการปั้นแบรนด์ระดับโกล เราต้องเป็นที่ 1 ในตลาดสหรัฐให้ได้ 5 ปี จะมีส่วนแบ่ง 50% เทียบคู่แข่ง”
แดน ปฐมวาณิชย์ ผนึกเภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กูรูสร้างแบรนด์ไทยสู่แบรนด์แชมป์เปียนระดับโลก
แนวโน้มธุรกิจปีนี้มองโอกาสเติบโต แรงส่งสำคัญมาจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ค้าปลีก และการสร้างแบรนด์ของตัวเอง ขณะที่ปัจจัยเปราะบาง มองเรื่องภูมิรัฐศาสตร์โลก สงครามความขัดแย้ง ซึ่งค่อนข้างน่ากลัว ส่วนวิกฤติทะเลแดง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไ่ม่กระทบบริษัทมากนัก แม้โรงงานจะมีแรงงานราว 1,300 คน แต่ส่งผลต่อต้นทุนการขายสินค้า 1-2% เท่านั้น ด้านเงินเฟ้อสูงเริ่มอยู่ในภาวะถดถอย ค่าเงินบาทไม่กระทบการส่งออกมากนัก บริษัททำตลาดราว 40 ประเทศทั่วโลก สัดส่วนรายได้จากส่งออกมีราว 80%
“บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 30-50% ทุกปี ซึ่งปี 2567 ค้าปลีกดี Chuanglee มีออเดอร์ในมือสร้างยอดขายโต 100% จาก 15 ล้านปอนด์ น่าจะแตะ 30 ล้านปอนด์ ค้าปลีกยังช่วยให้สินค้าจากโรงงานทั้งอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าอื่นๆ โตด้วย”
อ่าน เอ็นอาร์เอฟเดิมพันปั้นแบรนด์โลกดันซอสศรีราชาไทยโค่น "ตราไก่"