‘เทสลา’จะทวงเบอร์ 1 ด้วยอะไร รถอีวีราคาถูก ไซเบอร์ทรัก หรือโรโบแท็กซี่?

‘เทสลา’จะทวงเบอร์ 1 ด้วยอะไร รถอีวีราคาถูก ไซเบอร์ทรัก หรือโรโบแท็กซี่?

“อีลอน มัสก์” จะสามารถทำให้“เทสลา”กลับมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาด “อีวี” อีกครั้งได้มั้ย เมื่อแข่งขันดุเดือด “จีน” กำลังครองตลาดด้วยราคาถูกกว่า หลังจากยอดขายย่ำแย่กับแหล่งรายได้ที่สำคัญในอนาคตยังเอาแน่ไม่ได้ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าราคาถูก ไซเบอร์ทรัก หรือโรโบแท็กซี่กันแน่ ?

เทสล่า (Tesla Inc.) เคยเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าการขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เกิดขึ้นจริงพร้อมกับสร้างกำไรมหาศาล

แต่ตลอดทั้งปี 2567 นักลงทุนต่างตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของเทสา เพราะราคาหุ้นร่วงลงอย่างหนัก ท่ามกลางยอดขายที่ทรุดตัว สัญญาณที่สับสนเกี่ยวกับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ และความกังวลว่าไลน์ผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าของบริษัท ไม่สามารถตามทันคู่แข่งที่ดุเดือดได้

อีลอน มัสก์ จะพาเทสล่าไปทางไหน?

“อีลอน มัสก์” ซีอีโอของเทสลา พยายามมุ่งการพัฒนาไปสู่ Robo taxi หรือ “แท็กซี่ไร้คนขับ” มากกว่าการวางแผนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่างบีวายดี (BYD Co.) จากจีน ทั้งๆ ที่ ซอฟต์แวร์ช่วยขับอัตโนมัติของเทสล่า ที่เรียกว่า Full Self-Driving ยังคงต้องการการควบคุมดูแลจากมนุษย์อยู่

ล่าสุดมัสก์ พยายามส่งสัญญาณว่าเป้าหมายอันดับ 1 ของบริษัท คือ เทสลากำลังกลายเป็นบริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ

 "ถ้าใครไม่เชื่อว่าเทสล่าจะสามารถแก้ไขปัญหารถยนต์ไร้คนขับได้ ผมคิดว่าพวกเขาไม่ควรเป็นนักลงทุนในบริษัท" มัสกกล่าวในระหว่างการประชุมรายได้ประจำวันที่ 23 เมษายน "เราจะทำได้ และเรากำลังทำอยู่"

 

ความท้าทายที่เทสลากำลังเผชิญ

แม้ว่าอีลอน มัสก์ จะประกาศว่าเทสลากำลังมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาเป้าหมายอันดับ 1 ของบริษัท พร้อมกับพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นประหยัดตามที่นักลงทุนเรียกร้อง โดยรถยนต์รุ่นใหม่เหล่านี้จะใช้สายการผลิตเดียวกับรุ่นปัจจุบัน และมีกำหนดวางจำหน่ายภายในช่วงต้นปี 2568 หรืออาจจะเร็วกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม เทสลายังคงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ซึ่งรวมถึง อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (hybrid gas-electric vehicles)

ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าลดลง

กลุ่มลูกค้าเบื้องต้นของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี มีรายได้สูง และใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นคันที่สอง

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมระบุว่า ขณะนี้กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ได้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากันอย่างเพียงพอแล้ว ส่งผลให้ความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตช้าลง ยกตัวอย่างเช่น ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น 60% ในปี 2565 และ 47% ในปี 2566 แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 11% ในปี 2567 ตามข้อมูลคาดการณ์ของ UBS Group AG

ขณะที่ ยอดส่งมอบรถยนต์ของเทสลดาวลง 8.5% ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประมาณการเฉลี่ยของ Bloomberg มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

 "อัตราการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดัน และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ อีกหลายรายกำลังลดการผลิต EV และหันไปผลิตรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินแทน ในขณะที่เรามองว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ถูกต้อง และรถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดในที่สุด" มัสกกล่าวในการประชุมรายได้ประจำไตรมาสแรก

โดยยอดส่งมอบรถยนต์ที่ลดลงในไตรมาสแรก ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติสำหรับเทสล่า เพราะว่าการเติบโตเป็นหัวใจสำคัญของมูลค่าบริษัทฯ ในสายตาของนักลงทุน ราว 79% ของมูลค่าบริษัทฯ ในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการทำกำไรในอนาคต ตามการวิเคราะห์ของ DataTrek

‘เทสลา’จะทวงเบอร์ 1 ด้วยอะไร รถอีวีราคาถูก ไซเบอร์ทรัก หรือโรโบแท็กซี่?

นำมาซึ่งคำถามของรัคำถามกลงทุนที่ว่า “แหล่งที่มาของการเติบโตในอนาคตจะมาจากอะไร ?”

เพราะรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของเทสล่า อย่าง ไซเบอร์ทรัก (Cybertruck) รถกระบะไฟฟ้าตัวถังสแตนเลสสตีล กำลังถูกเรียกคืนเพื่อแก้ไขปัญหาคันเร่งที่ผิดปกติ และยังไม่ได้วางจำหน่ายในปริมาณมาก

ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัท ส่งผลให้เทสล่ากลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีผลประกอบการแย่ที่สุดในดัชนี S&P 500 ในปีนี้ ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะร่วงลง แต่เทสลาก็ยังคงเป็นหุ้นที่มีราคาแพงที่สุดเมื่อเทียบกับกำไรในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 7 บริษัท (Magnificent 7)

ผู้สนับสนุนเทสล่ามองว่า บริษัทฯ มีมูลค่าเหมาะสมกับราคาขาย เนื่องจากอนาคตของรถยนต์คือรถยนต์ไฟฟ้า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาภายในปี 2573 และ เทสล่ายังคงเป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันรายเดียวที่ทำกำไร และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น

การแข่งขันที่ทวีความรุนแรง

ในช่วงที่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ลดลง กลับมีรถยนต์ EV รุ่นใหม่หลายสิบรุ่น ทะยอยเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา

‘เทสลา’จะทวงเบอร์ 1 ด้วยอะไร รถอีวีราคาถูก ไซเบอร์ทรัก หรือโรโบแท็กซี่?

S&P Global ระบุว่า ขณะนี้มีรถยนต์ EV อย่างน้อย 51 รุ่น วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึง Tesla Model S, X, 3 และ Y เพิ่มขึ้นจาก 32 รุ่น เมื่อปีที่แล้ว ด้าน Cox Automotive ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรม คาดการณ์ว่าจะมีรถยนต์ EV รุ่นใหม่ อีกอย่างน้อย 70 รุ่น เข้าสู่ตลาดภายในปลายปี 2568 และส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ EV ของ Tesla ในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ประมาณ 51% ในไตรมาสแรก ซึ่งลดลงจากเกือบ 62% เมื่อเทียบเป็นรายปี

การแข่งขันนอกสหรัฐฯ รุนแรงยิ่งกว่า เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์จีนครองตลาดอยู่เกือบครึ่งหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายทั่วโลกเป็นแบรนด์จีน โดย BYD แบรนด์อันดับหนึ่งของจีน มียอดขายรถยนต์มากกว่าเทสล่าในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 แม้ว่าเทสล่าจะกลับมาเป็นผู้นำในไตรมาสต่อมาก็ตาม และแทบไม่มีรถยนต์ไฟฟ้าจีนรุ่นใดวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากต้องเสียภาษีนำเข้าถึง 25%

จุดแข็งของจีนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าคือ “แบตเตอรี่” ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่แพงที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ในจีนมีราคาถูกกว่ามาก เนื่องจากจีนควบคุมการขุดแร่และการแปรรูปวัตถุดิบที่จำเป็น เช่น ลิเทียม โคบอลต์ แมงกานีส และแร่ธาตุหายาก

นักวิเคราะห์จาก UBS ระบุว่า BYD มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าแบรนด์อเมริกาเหนือและยุโรปมากถึง 25% ในปี 2566 โดยรถยนต์รุ่นที่ถูกที่สุดของ BYD มีราคาอยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ Tesla Model Y รุ่นที่ถูกที่สุด ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในโลกเมื่อปีที่แล้ว มีราคาประมาณ 35,000 ดอลลาร์ ในสหรัฐฯ หลังจากหักเครดิตภาษีของรัฐบาลกลาง

แม้ว่ามักส์ได้ลดราคาทุกรุ่นของเทสล่าลงหลายครั้ง เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง ซึ่งช่วยชะลอการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดของเทสล่าได้ แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตรากำไร

แผนการผลิตของ Tesla คืออะไรกันแน่

เดิมที คาดว่ารถยนต์รุ่นใหม่ของเทสล่า ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายจะเป็นรุ่นราคาประหยัดกว่า ในราคาประมาณ 25,000 ดอลลาร์

มัสก์เริ่มพูดถึงรถยนต์รุ่นดังกล่าวเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2563 โดยระบุว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เทสลากำลังพัฒนา จะช่วยให้สามารถผลิต EV ในราคานั้นได้ภายในระยะเวลาประมาณ 3 ปี

ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มัสก กล่าวว่า เทสล่า "มีความคืบหน้าไปมาก" ในการพัฒนารถยนต์รุ่นประหยัด

แต่ในช่วงต้นเดือนเมษายน สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เทสล่าได้ "พักการพัฒนา" รถยนต์รุ่นราคาถูก เพื่อมุ่งเน้นไปที่รถ “แท็กซี่ไร้คนขับ” จึงเป็นการสร้างความสับสนให้กับนักลงทุนและสร้างความตึงเครียดภายในบริษัทฯ เกี่ยวกับความต้องการของมัสกที่จะมุ่งเน้นไปที่รถแท็กซี่ไร้คนขับ

‘เทสลา’จะทวงเบอร์ 1 ด้วยอะไร รถอีวีราคาถูก ไซเบอร์ทรัก หรือโรโบแท็กซี่?

“นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่” วอลเตอร์ ไอแซคสัน ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเทสล่า ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายน ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า มหาเศรษฐีคนดังกล่าวได้ "ปฏิเสธแผนการ" ในการผลิตโมเดลราคาประหยัดหลายครั้ง เมื่อนักวิเคราะห์ถามถึงรายละเอียดของรถยนต์รุ่นใหม่ราคาประหยัดในระหว่างการประชุมรายได้ประจำไตรมาสแรก มัสก์ ก็ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใดๆ เช่นกัน

ตอนนี้เทสลากล่าวว่า บริษัทฯ กำลังเร่งแผนการผลิตโมเดลใหม่ราคาประหยัด โดยใช้บางส่วนของแพลตฟอร์มรุ่นใหม่ ที่เดิมทีมีกำหนดการผลิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งการใช้สายการผลิตที่มีอยู่เดิมจะช่วยให้เทสล่าสามารถปรับแผนการผลิตให้เร็วขึ้นได้

สำนักข่าว Bloomberg News รายงานเมื่อวันที่ 22 เมษายน ว่า รถยนต์รุ่นใหม่เหล่านี้อาจเป็นรุ่นย่อยของ Model Y และ Model 3 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของบริษัทฯ ที่มาพร้อมกับราคาที่ถูกลง

“ระบบ Auto Pilot” เสถียรมากพอที่จะพัฒนาไปเป็น “แท็กซี่ไร้คนขับ” เลยหรอ ?

โดยแนวคิดในการสร้างบริการรถแท็กซี่ไร้คนขับ มีการพูดถึงภายในเทสลมานานอย่างน้อย 8 ปี

อีลอน มัสก์ เชื่อมั่นอย่างยิ่งในความก้าวหน้าที่เทสลาได้วางแผนให้บริษัทฯ พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหลายล้านคันในรถประเภทรถแท็กซี่ไร้คนขับ ซึ่งเป็นบริการที่เลียนแบบบริษัทรถรับจ้างอย่าง Uber Technologies Inc.

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นในไตรมาสแรก เทสลากล่าวว่า "อนาคตไม่เพียงแต่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นรถยนต์ไร้คนขับด้วย"

"เราเชื่อว่าการนำรถยนต์ไร้คนขับมาใช้ในวงกว้างเป็นไปได้ด้วยข้อมูลจากรถยนต์หลายล้านคัน และคลัสเตอร์การฝึกปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ ซึ่งเรามีอยู่แล้วและยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง"

แต่ถึงกระนั้น บริษัทฯ ยังไม่สามารถนำเสนอฟีเจอร์ที่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องมีผู้ขับคอยมองถนนและควบคุมพวงมาลัย เทสล่าจำเป็นต้องเรียกคืนรถยนต์หลายล้านคัน และเผชิญคดีความมากมาย เกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ ซึ่งแยกจำหน่ายต่างหาก และกลายเป็นจุดผิดหวังด้านรายได้อย่างต่อเนื่อง

“อีลอน มัสก์” ก็คือ “อีลอน มัสก์”

อีลอน มัสก์ และเทสล่า ถูกมองเป็นภาพเดียวกันมานานแล้ว เขาดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2551 และเป็นบุคคลสำคัญของบริษัท ผลงานในการเปลี่ยนบริษัทสตาร์ทอัพให้กลายเป็นเครื่องจักรทำเงิน ทำให้เทสลากลายเป็นที่นิยมในกลุ่มนักลงทุนมืออาชีพและนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก

แต่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดผิดปกติ ระหว่างเขากับคณะกรรมการบริษัทฯ ที่มีหน้าที่กำกับดูแลเขา กลับดึงดูดความสนใจในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแพ็คเกจเงินเดือนมูลค่า 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ของมัสก์ ซึ่งบริษัทฯ กำลังต่อสู้เพื่อปกป้อง หลังจากที่ศาลมีคำตัดสินปฏิเสธ ไปจนถึงการกล่าวหาว่าเขามีการใช้สารเสพติด

กลุ่มผู้ถือหุ้นได้แสดงความกังวลอื่นๆ อีก เช่นกล่าวว่ามัสก์ ฟุ้งซ่านกับภาระหน้าที่ในบริษัทอื่นอีกห้าแห่งที่เขาดำรงตำแหน่ง เช่น การเข้าซื้อกิจการ Twitter Inc. แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เขาเปลี่ยนชื่อเป็น X อย่างวุ่นวายในปี 2565