CPALL - ถือ

CPALL - ถือ

ผลประกอบการ 1Q63: เป็นไปตามคาด

Event

กำไรสุทธิของ CPALL ใน 1Q63 ลดลงมาอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท (-2% YoY และ -9% QoQ) เพราะถูกกระทบจากการจับจ่ายใช้สอยที่อ่อนแอในช่วงที่ Covid-19 ระบาด ซึ่งเป็นไปตามประมาณการของเราและ Bloomberg consensus โดยกำไรสุทธิในไตรมาสแรกคิดเป็น 24% ของประมาณการกำไรปีนี้

lmpact

SSSG ติดลบใน 1Q63 จากยอดการจับจ่ายใช้สอยที่อ่อนแอ

รายได้รวมบริษัทในเครือของ CPALL ใน 1Q63 อยู่ที่ 1.41 แสนล้านบาท (+5% YoY แต่ -1% QoQ) เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจ Cash&carry (Siam Makro (MAKRO.BK/MAKRO PCL)) ที่แข็งแกร่งจากการที่ประชาชนซื้อตุนสินค้าถูกหักล้างไปบางส่วนด้วย SSSG ที่ติดลบของร้านสะดวกซื้อที่ -4.0% (ติดลบหนักกว่าประมาณการ 1Q63F ของเราที่ -3.5% และสมมติฐานปีนี้ที่ 0%) SSSG ที่ติดลบของร้านสะดวกซื้อเป็นเพราะยอดจับจ่ายใช้สอยอ่อนแอจากการระบาดของ Covid-19 ซึ่งทำให้จำนวนลูกค้าเข้าร้านเฉลี่ยต่อวันลดลงเหลือ 1,122 คนใน 1Q63 จากเฉลี่ยต่อวันที่ 1,187 คนในปี 2562 ทั้งนี้ CPALL เปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 271 ร้านใน 1Q63 ทำให้จำนวนสาขาร้านค้ารวมเมื่อสิ้นงวด 1Q63 อยู่ที่ 11,983 ร้าน

อัตรากำไรขั้นต้นใน 1Q63 อยู่ที่ 22.1%

อัตรากำไรขั้นต้นรวมบริษัทในเครือใน 1Q63 อยู่ที่ 22.1% (-0.2 ppts YoY, -0.7ppts QoQ) จากการเติบโตของยอดขายธุรกิจ Cash&carry (ซึ่งตามปกติ margin จะต่ำ) และธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่อ่อนแอ ทั้งนี้ product mix ระหว่างสินค้าประเภทอาหารและไม่ใช่อาหารอยู่ที่ 70.8% และ 29.2% ใน 1Q63 จาก 70.4% และ 29.6% ใน 1Q62 โดยอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น 20 bps เป็น 27.0% เนื่องจากสินค้าประเภทพร้อมรับประทาน และ All café ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของสินค้าที่ไม่ใช่อาหารก็เพิ่มขึ้น 50 bps เป็น 26.3% จากยอดขายหน้ากากอนามัย และผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อโรค

มีการนำมาตรฐานบัญชี TFRS 16 มาใช้

บริษัทได้นำมาตรฐานบัญชี TFRS 16 มาใช้ ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 308 ล้านในงบรวมของบริษัท ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยใน 1Q63 อยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท (+7.5% YoY และ +16.3% QoQ) แต่หากไม่รวมผลจากการปรับมาตรฐานบัญชี ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะลดลง 10% YoY เหลือ 1.6 พันล้านบาท เนื่องจากมีการชำระคืนหนี้ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนทุนที่ปรับแล้ว (net debt to adjusted equity) อยู่ที่ 0.9X ซึ่งต่ำกว่า covenant ของพันธบัตรที่ 2.0X

Valuation & action

แพคเก็จกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาเรื่อย ๆ จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการจับจ่ายใช้สอยที่อ่อนแอในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการปรับลดประมาณการกำไรของ CPALL ลงอีกจากการนำมาตรฐานบัญชี TFRS 16 มาใช้ และต้นทุนทางการเงินจากการซื้อ Tesco lotus ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ ถือ และคงราคาเป้าหมาย DCF สิ้นปี 2563 เอาไว้ที่ 83.00 บาท โดยใช้ WACC ที่ 8.0% risk-free ที่ 3.1% และ terminal growth ที่ 2.5%

Risks

เศรษฐกิจชะลอตัว ขยายสาขาร้านได้ช้ากว่าที่คาดไว้ เกิด disruption จากเทคโนโลยีใหม่ ถูกยกเลิกสัญญาให้ใช้ตรายี่ห้อ 7-Eleven trademark และความเสี่ยงด้านการขนส่ง