หุ้นโรงไฟฟ้ามีหนาว ต้นทุนกลับมากดดันกำไร

หุ้นโรงไฟฟ้ามีหนาว ต้นทุนกลับมากดดันกำไร

หุ้นโรงไฟฟ้ายุคหลังโควิดยังสะบักสะบอม รับกับปัจจัยลบคือ ต้นทุนพลังงาน ที่พุ่งไม่หยุดเหมือนกับธุรกิจอื่น ทั้งที่มาตรการผ่อนคลายโควิด และการเปิดประเทศน่าหนุนการใช้ไฟฟ้าให้กลับมาคึกคักใกล้เคียงก่อนโควิด แต่กลับเจอปัจจัยลบทำสะดุดกำไร

            เทรนด์ “เงินเฟ้อพุ่ง” “ดอกเบี้ยขาขึ้น” เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งสหรัฐเผชิญเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี ที่ 8.3%  ขณะที่กลุ่มอียู นำโดยประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศสรายงานเงินเฟ้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์

            ส่วนไทยซึ่งดำเนินมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร จนวันที่ 1 พ.ค.2565 มีการปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลเป็นไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร และประเมินเป็นรายสัปดาห์

ล่าสุดคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติให้ปรับขึ้นราคาน้ำดีเซลลิตรละ 1 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลปรับจากลิตรละ 32.94 บาท เป็นลิตรละ 33.94 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.2565 ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มน้ำมันดีเซลขึ้นไปที่เกือบ 34 บาทต่อลิตร รวมไปถึงราคาก๊าซที่ไม่แผ่วเช่นเดียวกัน ราคาถ่านหินที่ยังราคาทรงตัวระดับสูง ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 118.9 ดอลลาร์ต่อตัน ทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน

            ปัจจัยราคาพลังงานจึงสะท้อนไปยังดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI)  หรือเงินเฟ้อเดือนพ.ค.2565 อยู่ที่ระดับ 106.62 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.10% ถือว่าสูงสุดในรอบ 13 ปี และเพิ่มขึ้น 1.40% จากเดือนเม.ย.65 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.- พ.ค.65) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.19% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงาน รวมทั้งกรณีที่มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐในบางโครงการสิ้นสุดลง เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม

       

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ราคาพลังงานก๊าซ - ถ่านหิน เข้ามากดดันธุรกิจโรงไฟฟ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้นทุนพุ่งสูงแต่ราคาขายยังขยับไม่ได้เยอะ เมื่อเทียบกับต้นทุน แม้ว่าภาครัฐพึ่งจะมีการประกาศปรับต้นทุนเพิ่มผ่านค่า Ft เดือนก.ย.- ธ.ค.2565 เป็น 0.40 บาทต่อหน่วย เพื่อให้สะท้อนต้นทุนแต่ยังไม่ทันกับสถานการณ์

     บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) มีมุมมองธุรกิจไฟฟ้าผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานสูง เช่น ถ่านหิน และก๊าซ เป็นต้น สำหรับธุรกิจ โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ที่ใช้ถ่านหิน ในงวดไตรมาส 1 ปี 2565  ประสบปัญหาการขาดแคลน หลังจากอินโดนีเซีย งดการส่งออกถ่านหิน และการขาดแคลนด้านอุปทานก็ผลักดันให้ราคาขึ้นไปสูงอีก เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่ใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้า  ซึ่งจะมีส่วนไม่ได้รับผลกระทบหากจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ EGAT ซึ่งรับต้นทุนส่วนเพิ่มไป

     แต่หากเป็นการจำหน่ายให้กับลูกค้าประเภทอุตสาหกรรม (IU) ก็จะต้องรอให้มีการเพิ่มค่าไฟฟ้า FT เสียก่อน ในส่วนนี้จะได้รับผลลบเพราะค่าไฟฟ้าปรับขึ้นไม่ทันกับต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้น บริษัทที่มีลูกค้ากลุ่มนี้มากคือ GPSC และ BGRIM ซึ่งมีสัดส่วนอยู่มากถึง 60% และ 70-75% ตามลำดับล่าสุด GPSC รายงานกำไรไตรมาส 1 ปี 2565  ลดลงมาก

        หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นการลงทุน ยกเว้น ROJNA - AMATA ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในลักษณะบริษัทร่วมคือ ถือหุ้นส่วนใหญ่ไม่เกิน 30% พันธมิตรส่วนใหญ่เป็น บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งก็ถือว่ามีผลต่อกำไรอยู่พอควร ในงวดปี 2564 กำไรตามส่วนได้เสีย (Equity Income) เป็น 524 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่ 27% เทียบกับกำไรสุทธิทั้งหมดที่ 1,962 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรไม่ได้มาจากธุรกิจไฟฟ้าทั้งหมด เช่น มีการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติด้วย แต่ส่วนใหญ่มาจากไฟฟ้า  

      WHA มีกำไรลงทุน 35% ในโรงไฟฟ้า IPP คือ Ghecho-One ร่วมกับ GLOW ใช้เชื้อเพลิงถ่านหินได้รับผลลบจากต้นทุนถ่านหินที่เพิ่มขึ้น และการขาดแคลน ในบางครั้งต้องหยุดโรงงาน ส่วนโรงไฟฟ้า SPP มีส่วนลูกค้าเป็น EGAT ที่ 70-80%

และส่วนลูกค้าอุตสาหกรรม( IU) ที่ 20-30% ในงวดปี 2564 มีกำไรตามส่วนได้เสียเฉพาะดำเนินงานที่ 940 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 36%

       ROJNA มีการจัดทำงบรวมกับ Rojana Power ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 75% เป็นโรงไฟฟ้าSPP มีทั้งหมด 3 เฟส จำนวนทั้งหมด 430  เมกะวัตต์ (MW) ในงวดปี 2564 มีส่วนของกำไรสุทธิที่ 478 ล้านบาท หรือ 25% เทียบกับกำไรสุทธิทั้งหมดที่  1,938 ล้านบาท

       ขณะเดียวกันเจอมีปัจจัยรบกวนจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอีกสำหรับในงวดไตรมาส 1 ปี 2565  ค่าเงินบาทไม่เปลี่ยนแปลง ณ สิ้นงวด เทียบกับต้นงวด จึงไม่มีผลนักแต่สำหรับไตรมาส 2 ปี 2565  คาดว่าจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนหนึ่งจากค่าเงินบามที่อ่อนค่าลงไปมากจากต้นปีถึงปัจจุบัน ( YTD) ลดลงไปแล้ว 3.9% เป็น 34.61 บาทต่อดอลลาร์    กรณี ROJNA ที่มีเงินลงทุนใน GULF ราว 1% ณ สิ้นไตรมาส1 ปี 2565  ราคาปรับขึ้นไป 12% จึงคาดว่าจะมีกำไร แต่เทียบไตรมาสก่อนของไตรมาส 2 ปี 2565 กลับลดลง 10.7% จึงคาดว่าจะพลิกเป็นขาดทุน แต่ต้องรอดูจบ ณ สิ้น ไตรมาส 2 ปี 2565 ก่อน

      สำหรับคำแนะนำหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ทยอยสะสม แม้ธุรกิจไฟฟ้าไม่สดใส แต่ก็จะมีธุรกิจอื่นๆ มาช่วยกระจายความเสี่ยงได้ เช่น รายได้จากการโอนนิคมฯ รายได้จากค่าเช่าและบริการจากธุรกิจโลจิสติกส์ โรงงานสำเร็จรูป (RBF) และรายได้จากสาธารณูปโภคน้ำอุตสาหกรรม

 

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์