The Giving Pledge สัญญาว่าจะ“ให้”จากใจเศรษฐีโลก

The Giving Pledge สัญญาว่าจะ“ให้”จากใจเศรษฐีโลก

มหาเศรษฐีในโลกเราจำนวนไม่น้อยที่บริจาคเงินหรือตั้งหน่วยงานการกุศล และดำเนินการช่วยเหลือสังคมอย่างจริงจัง

ลองมาดูกันค่ะว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้ทำประโยชน์ให้แก่โลกใบนี้อย่างไร และสะท้อนแนวคิดอะไรของพวกเขาได้บ้าง...

คงไม่มีใครไม่รู้จักอภิมหาเศรษฐีโลกที่มีนามว่า บิล เกตส์ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ แต่ในอีกด้านหนึ่งเขายังเป็นมหาเศรษฐีใจบุญเขาและภรรยา เมลินดา เกตส์ได้ก่อตั้งมูลนิธิ “บิล แอนด์ เมลินดา เกตส์” ตั้งแต่ปี 2000 เพื่อทุ่มเทให้กับโครงการสาธารณสุขและการบรรเทาความยากไร้ และในปี 2010 เขาลงจากตำแหน่งซีอีโอไมโครซอฟต์ พร้อมประกาศว่าเขาจะ “อุทิศ” ชีวิตที่เหลือทั้งหมดให้แก่การกุศล

ในปี 2010 บิล เกตส์ ได้ร่วมกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์” อภิมาเศรษฐีนักลงทุน ได้ร่วมกันจัดทำโครงการ “The Giving Pledge” (พันธะสัญญาแห่งการให้) โดยเป็นโครงการที่จะขอให้อภิมหาเศรษฐีทั่วโลกร่วมบริจาคอย่างน้อย “ครึ่งหนึ่ง” ของทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่การกุศล และปัจจุบันโครงการดังกล่าวมีมหาเศรษฐีเข้าร่วมโครงการแล้วถึง 157 รายใน 20 ประเทศทั่วโลก รวมถึงตัวบิล เกตส์ เองที่มอบทรัพย์สินกว่า 77,000 ล้านเหรียญฯ ให้แก่มูลนิธิบิลแอนด์เมลินดาเกตส์

มหาเศรษฐีที่ร่วมลงนามใน The Giving Pledge ได้ถูกประกาศรายชื่อในเวบไซต์ givingpledge.org โดยการลงนามนี้เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ และไม่มีผลใดๆ ทางกฏหมาย โดยผู้ลงนามจะบริจาคขณะยังมีชีวิตอยู่หรือเมื่อเสียชีวิตแล้วก็ได้ ตัวอย่างมหาเศรษฐีที่ร่วมลงนาม อาทิ พอล อัลเลนผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟต์ (ความมั่งคั่งสุทธิ 17,000 ล้านเหรียญฯ), แลร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้งออราเคิล (ความมั่งคั่งสุทธิ 50,000 ล้านเหรียญฯ), มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก (ความมั่งคั่งสุทธิ 35,700 ล้านเหรียญฯ), ไมเคิล บลูมเบิร์ก (ความมั่งคั่งสุทธิ 37,200 ล้านเหรียญฯ), จอร์จ ลูคัสผู้กำกับหนังฮอลลีวูดชื่อดัง (ความมั่งคั่งสุทธิ 5,400 ล้านเหรียญฯ) และ นาธาน เบลชาร์ซีก ผู้ก่อตั้ง AirBnb (ความมั่งคั่งสุทธิ 3,300 ล้านเหรียญฯ) เป็นต้น

  มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กและภรรยา พริสซิลลา ชาน” แสดงเจตนารมย์ไว้ว่า “พวกเราได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต เราได้ประโยชน์จากการที่มีสุขภาพดี มีการศึกษาที่ดี ได้รับการสนับสนุนจากสังคม เราจึงอยากช่วยให้เด็กรุ่นต่อๆ ไปได้มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นไปกว่ารุ่นเรา สิ่งที่เราทำมาตลอดคือการพัฒนาทางด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสุขภาพ ซึ่งแม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะบรรลุเป้าหมายแต่เราก็จะทำ และนี่เหตุผลที่เราร่วมลงนามใน The Giving Pledge ตั้งแต่วันนี้ บางคนอาจรอจนอายุมากๆ แล้วค่อยให้ แต่ทำไมต้องรอ ในเมื่อโลกเรายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก”

นอกจากมหาเศรษฐีในสหรัฐฯ บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเดินสายเชิญชวนมหาเศรษฐีทั่วโลกให้เข้าร่วมโครงการThe Giving Pledge โดยปัจจุบันมีมหาเศรษฐีใน20 ประเทศทั่วโลกร่วมลงนามแล้ว แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านของเราก็มีเศรษฐีใจบุญร่วมลงนามแล้ว ได้แก่วินเซนต์ ตัน นักธุรกิจและนักลงทุนชาวมาเลเซียแห่ง Berjaya Group (ความมั่งคั่งสุทธิ 1,130 ล้านเหรียญฯ) และทาเฮอร์ นักธุรกิจชาวอินโดนีเชียเจ้าของ Mayapada Bank (ความมั่งคั่งสุทธิ 1,740 ล้านเหรียญฯ) นอกจากนี้ยังมีเศรษฐีจากซาอุดิอาระเบีย 1 ราย, อาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย, อินเดีย 2 ราย, จีน 1 ราย และไต้หวัน 1 ราย ที่เข้าร่วมลงนามใน The Giving Pledge ด้วยเช่นกัน

วินเซนต์ ตันมหาเศรษฐีจากมาเลเซีย แสดงเจตนารมย์ไว้ว่า “ผมมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ก็ประสบความสำเร็จมาได้จากการทำงานอย่างหนัก และเมื่อผมและครอบครัวมีความมั่งคั่ง ก็รู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบที่ต้องใช้เงินนั้นไปในทางที่ดีต่อสังคม ด้วยเหตุนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมจึงช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสด้วยการก่อตั้งมูลนิธิ Better Malaysia และจากการที่ผมได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการที่ชาวมาเลเซียที่สนับสนุนธุรกิจในกลุ่ม Berjaya Groupของผมที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ผมจึงต้องการตอบแทนกลับสู่สังคมที่ให้ผมมาโดยตลอดบ้าง”

นับว่าเป็นเรื่องดีที่เห็นกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งระดับโลกเหล่านี้สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้สังคมไมเคิล มูดีอาจารย์จาก Johnson Center for Philanthropy จาก GrandValley State University กล่าวกับเวบไซต์ Philanthropy.com ว่ากลุ่มมหาเศรษฐีหัวคิดทันสมัยเหล่านี้ต้องการแก้ปัญหาสังคมในระยะยาวและมองหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้โลกนี้ดีขึ้นอยู่เสมอซึ่งแนวคิดนี้เองที่ทำให้พวกเขามีความมั่งคั่งมหาศาล

หากเศรษฐีไทยจะลองหันมาใช้แนวคิดนี้บ้างก็คงต้องส่งเสียงเชียร์ดังๆ ค่ะ