รับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย ‘รัฐบาล’ ต้องกล้าตัดสินใจ

กองทุนการเงินระหว่างทาง (IMF) เป็นหน่วยงานล่าสุดที่ออกมาเตือนถึงเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจาก 2.9% เหลือ 2.7%  พร้อมทั้งคำเตือนว่าเศรษฐกิจของประเทศต่างๆถึง 1 ใน 3 ของทั้งโลก จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และอาจเริ่มเข้าสู่ภาวะการผิดนัดชำระหนี้ซึ่งจะก่อให้เกิดวิกฤติการผิดชำระหนี้เป็นลูกโซ่ลามสู่วิกฤติต่อๆไป 

กอบศักดิ์ ภูตระกูล ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กูรูเศรษฐศาสตร์มหภาครุ่นใหม่ที่มีคมความคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์ไม่เป็นสองรองใครในขณะนี้ก็ออกมาบอกว่า โอกาสการเกิดเศรษฐกิจโลกถดถอยนั้นมีมาก จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ของธนาคารกลางสหรัฐฯและธนาคารกลางหลายแห่ง ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างจีนก็ประสบปัญหา 

ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดคือความเสี่ยงที่จะเกิด “Global recession” ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในรอบ 50 ปี  และเริ่มมีสัญญาณการปลดคนงานในบริษัทต่างๆทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ให้เห็นแล้ว คาดว่าวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยจะกินเวลา 2-3 ปีกว่าจะคลี่คลายเป็นปกติ 

วิกฤติซ้อนวิกฤติที่เกิดขึ้นขณะนี้ เป็นเสมือนภาคต่อของวิกฤติโควิด-19 และวิกฤติเงินเฟ้อ ที่เกิดขึ้นในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา 

ล่าสุด ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนสการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ “สภาพัฒน์” ยอมรับว่ามีความกังวลต่อวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้น โดยหน่วยงานหลักอย่างสภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมมาตรการรองรับไว้บางส่วน 

ที่น่าคิดก็คือวิกฤติที่เรียกว่าเศรษฐกิจถดถอยในครั้งนี้ จะเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้าเป็นอย่างช้าซึ่งการจะรองรับวิกฤติระดับโลกนี้ จะรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาสั่งการทุกอย่างคงไม่ได้

รัฐบาลนี้ต้องเตรียมแผนรองรับไว้ทันที ถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องเรียกประชุม “ครม.เศรษฐกิจ” หาคนที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยวางแผน หามาตรการรับมือ 

…ก่อนที่วิกฤติที่รออยู่จะเดินทางมาถึง หากไม่เตรียมการอะไร ก็เป็นไปได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางเศรษฐกิจจะมากกว่าที่คาดการณ์ไว้