ผวาศึกอิสราเอล-อิหร่าน นำไปสู่วังวนแห่งความตาย “Death Spiral”

ผวาศึกอิสราเอล-อิหร่าน นำไปสู่วังวนแห่งความตาย “Death Spiral”

นักวิเคราะห์ผวาความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่านอาจจะนำไปสู่วังวนแห่งความตาย “Death Spiral” อิหร่านขู่ตอบโต้อย่างรุนแรงต่อรัฐบาลอิสราเอลและสหรัฐ หลังถูกอิสราเอลโจมตี

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (13 มิ.ย.) ว่า การโจมตีโครงการนิวเคลียร์และฐานยิงขีปนาวุธของอิหร่านในช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์ทำให้อิหร่านประกาศ “โจมตีตอบโต้อย่างหนักหน่วง” ต่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูและสหรัฐฯซึ่งปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

การโจมตีหลายเป้าหมายทั่วอิหร่านซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันทะยานสูงขึ้น อิสราเอาได้โจมตีเป้าหมายฐานยิงนิวเคลียร์และผู้บัญชาการทหารระดับสูง 

โทรทัศน์แห่งรัฐอิหร่านรายงานว่า ฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ถูกสังหาร

  • ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ

ต่อไปนี้คือปฏิกิริยาจากผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์มในอนาคต ที่จะตามมา

แอนเดรีย สตริกเกอร์ รองผู้อำนวยการโครงการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์และป้องกันอาวุธชีวภาพและนักวิจัยจากมูลนิธิเพื่อการปกป้องประชาธิปไตย กล่าวว่า

“การที่จะหยุดโครงสร้างทางนิวเคลียร์นั้น ต้องใช้เวลาหลายวันในการให้เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดหรือยิงขีปนาวุธไปที่สถานที่ตั้งของโครงการนิวเคลียร์ และในทางอุดมคติแล้ว พวกเขาจะใช้ระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์ขนาดหนักเพื่อเจาะเข้าไปในสถานที่ดังกล่าว กล่าวคือ สถานที่เสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ที่ฟอร์โดว์อยู่ในอุโมงค์มีความลึกประมาณ 60 ถึง 90 เมตร และอิหร่านยังพูดถึงการสร้างสถานที่เสริมสมรรถนะแห่งใหม่ซึ่งมีความลึกประมาณ 100 เมตรขึ้นไปใต้ภูเขาใกล้กับเมืองนาตันซ์”

“การจะทำลายหรือทำให้โครงการนิวเคลียร์ไร้สมรรภาพ และทำให้โครงการถอยหลังไปเป็นเวลาหลายเดือนถึงหลายปี เรากำลังพูดถึงระเบิดขนาดหนักและการทิ้งระเบิดหลายครั้งติดต่อกันหลายวัน”

“ตามหลักการแล้ว พวกเขาควรจะให้สหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะสหรัฐฯ ยังคงมีระเบิดทำลายล้างบังเกอร์ที่ร้ายแรงที่สุด แต่อิสราเอลก็มีอาวุธสำหรับทำลายล้างบังเกอร์บางส่วนที่พวกเขาสามารถใช้ได้เอง”

กรณีอิหร่านทำการโจมตีตอบโต้อิสราเอล สตริกเกอร์ เห็นว่า 

“พวกเขาอาจจะโจมตีฐานทัพทหาร สถานที่ติดตั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ และฐานย่อย  แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้เสมอที่จะมีการโจมตีเมืองและศูนย์กลางพลเรือน หากพวกเขาต้องการสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนจริงๆ”

“ถ้า หรือเมื่ออิหร่านตอบโต้ เราจะเห็นสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงเหมือนที่พวกเขาทำในเดือนเมษายน 2024 และในเดือนตุลาคม 2024”

  • หวั่นอิหร่านโจมตีเขตพลเรือนอิสราเอล

ร็อดเจอร์ ชานาฮาน ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางและอดีตนายทหารออสเตรเลีย พูดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในแง่ของการตอบโต้ของอิหร่านว่า

“การโจมตีแบบไม่เลือกต่อพื้นที่พลเรือนในอิสราเอล จะถือเป็นจุดวิกฤตที่ไม่อาจหวนกลับได้ หากพวกเขาโจมตีฐานทัพทหารอิสราเอล พวกเขาอาจโจมตีฐานทัพนิวเคลียร์ของอิสราเอล... ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ของอิสราเอล นายทหารระดับสูง ดังนั้น ผมคิดว่าหากการโจมตีเป็นแบบเลือกตอบโต้ที่สมน้ำสมเนื้อกัน ก็จะสามารถจำกัดขอบเขตความขัดแย้งได้ แต่ถ้าการโจมตีเป็นแบบกระจายไปทั่วไม่เลือกพื้นที่ใด คุณก็อาจจะเข้าสู่จุดวิกฤตที่ไม่อาจหวนกลับได้”

มารา รุดแมน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย อดีตรองทูตและหัวหน้าเจ้าหน้าที่สำนักงานทูตพิเศษเพื่อสันติภาพตะวันออกกลางแห่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กว่า

“ฉันคิดว่านี่ไม่น่าจะเป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียวของอิสราเอล เนื่องจากความกังวลต่างๆ มีเป้าหมายอย่างไรในการขจัดความสามารถในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน และฉันเชื่อว่าจะต้องทำอย่างไรกับสิ่งที่อิสราเอลมีให้ ฉันคิดว่าผู้คนต้องคาดว่า การปฏิบัติการโจมตีจะยาวนานและต่อเนื่อง และอิหร่านจะตอบโต้ด้วยวิธีต่างๆ”

บิลาฮารี เกาสิกัน อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์และอดีตประธานสถาบันตะวันออกกลาง กล่าวว่า

“ผมคิดว่าความขัดแย้งในภูมิภาคนี้จะยังคงดำเนินต่อไป โดยประเทศอาหรับนิกายซุนนีส่วนใหญ่เข้าข้างอิสราเอลอย่างเงียบๆ แม้ว่าอิหร่านอาจเปิดฉากโจมตีด้วยการก่อการร้ายไปทั่วโลกเพื่อตอบโต้ แต่อิหร่านจะกลายเป็นสงครามที่ลุกลามใหญ่โตได้ก็ต่อเมื่อมีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเข้าข้างฝ่ายของอิหร่าน  แต่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจะไม่เล่นบทบาทนั้น ในขณะที่รัสเซียยุ่งกับสงครามยึดครองยูเครน และในขณะที่จีนแม้มีบทบาททางเศรษฐกิจที่สำคัญในอ่าวเปอร์เซีย แต่นโยบายทางการเมือง การทูต และการทหารในตะวันออกกลางของจีนส่วนใหญ่เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น”

สถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน? ผมคิดว่าไม่เลวร้ายจนเกินไป ขีปนาวุธของอิหร่านล้มเหลวในการโจมตีอิสราเอลได้เมื่อปีที่แล้ว และไม่ได้สร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ และกองกำลังแนวหน้าอย่างฮิซบุลเลาะห์และฮามาสก็ถูกอิสราเอลทำลายล้าง เตหะรานอาจสร้างความเสียหายให้กับอิสราเอลมากขึ้นในครั้งนี้ และอาจจะโจมตีเป้าหมายที่อ่อนแอกว่าในซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน รวมถึงการเดินเรือในอ่าวเปอร์เซีย แต่จะไม่ถือเป็นหายนะแต่อย่างใด”

นิโคล กราเยฟสกี นักวิจัยโครงการนโยบายนิวเคลียร์จากมูลนิธิ Carnegie Endowment for International Peace โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า

“หากคุณถามถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุด สถานการณ์นี้คงใกล้เคียงกับสถานการณ์ที่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านยังคงดำเนินต่อไป (โดยไม่คำนึงถึงความคืบหน้า) และอิสราเอลดำเนินการโจมตีด้วยตนเอง โดยกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้นำกองทัพอิหร่านพร้อมกับพลเรือนที่เสียชีวิต เพียงสามวันก่อนการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน”

“การตอบโต้ของอิหร่านน่าจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิต ผู้นำทางการเมืองหรือทหารคนสำคัญตกเป็นเป้าหมายหรือไม่ และระดับความเสียหายต่อขีดความสามารถของอิหร่าน (ทั้งอาวุธแบบปกติและนิวเคลียร์) ฉันคิดว่าเราอาจได้เห็นอิหร่านโจมตีเขตพลเรือนอิสราเอล”

เจฟฟรีย์ ลูอิส ศาสตราจารย์จากสถาบัน Middlebury โพสต์ข้อความนี้บนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับผลกระทบของการโจมตีต่อโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านว่า

 

“หากอิสราเอลโจมตีอิหร่านเพียงลำพัง ผมไม่เห็นว่าจะส่งผลกระทบในระยะยาวแต่อย่างไร เว้นแต่จะมีบางอย่างที่พิเศษและ/หรือน่าแปลกใจจริงๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเริ่มคิดว่าการกระทำครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำให้ระบอบการปกครองอิหร่านสั่นคลอนมากกว่า จะทำให้โครงการนิวเคลียร์พังทลาย นับเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของคนอิสราเอล”

อังคิต ปันดา นักวิจัยอาวุโสจาก Stanton Endowment for International Peace โพสต์ข้อความลงบนโซเชียลมีเดียว่า

“อิสราเอลกล่าวว่าไม่ได้ต้องการเปลี่ยนระบอบการปกครอง แต่มุ่งเป้าไปที่ศักยภาพด้านนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ถ้าเป้าหมายการโจมตีที่เป็นข่าวลือในอิหร่านบางเป้าหมายกลายเป็นความจริง (รวมถึงเป้าสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด) ก็ยากที่จะมองว่า นั่นน่าจะไม่ใช่เป้าหมายสงครามทางการเมืองใหญ่ที่มีต่อชาวอิหร่าน จึงนับว่าอันตรายจริงๆ”