ภาษีนำเข้า (ยัง) ไม่ช่วยลดขาดดุล ? สหรัฐเผยตัวเลขพุ่ง 50% จากปี 2017

ข้อมูลจากรัฐบาลแสดงให้เห็นว่าการขาดดุลการค้าสินค้าของสหรัฐแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.21 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 เพิ่มขึ้น 50% จากปี 2017 สวนทางนโยบายลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (7 ก.พ.) ว่า ระหว่างปี 2018 ถึง 2019 ในสมัยแรกของทรัมป์ สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้นโดยเฉพาะกับสินค้านำเข้าจากจีน แต่การขาดดุลยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กระตุ้นการนำเข้า และการขนส่งผ่านประเทศที่สามซึ่งทำให้ผลกระทบของภาษีที่มุ่งเป้าไปที่จีนอ่อนลง
ในสมัยที่สองของเขา ทรัมป์ได้ประกาศว่าตั้งใจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และได้เริ่มเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนเมื่อวันอังคาร แม้ยังไม่ชัดเจนว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยลดการขาดดุลได้หรือไม่
ตามข้อมูลจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สัน อัตราภาษีที่เรียกเก็บจริงเฉลี่ยสำหรับสินค้าจีนเพิ่มขึ้นจาก 3.1% ในต้นปี 2018 เป็น 21% ณ เดือนก.ย. 2019 แม้ว่ารัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะกล่าวในตอนแรกว่าจะลดภาษีเหล่านี้ แต่ในที่สุดก็ยังคงเก็บภาษีไว้เกือบทั้งหมด รายได้จากภาษีนำเข้าของสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าระหว่างปี 2017 ถึง 2024 เป็น 8.29 หมื่นล้านดอลลาร์
ภาษีนำเข้าส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน แม้ว่าในปี 2024 จะมีมูลค่า 2.954 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าคู่ค้ารายอื่นของสหรัฐ แต่ก็ลดลงประมาณ 20% จากปี 2017 นอกจากนี้จีนยังเสียตำแหน่งผู้ส่งออกอันดับหนึ่งไปให้กับเม็กซิโกในปี 2023 ทำให้หลุดจากอันดับหนึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากประเทศอื่นทำให้การขาดดุลการค้าสินค้าโดยรวมของสหรัฐ ไม่ลดลง จากปี 2017 ถึง 2024 การขาดดุลกับสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้นประมาณ 50% เป็น 2.355 แสนล้านดอลลาร์ การขาดดุลกับเม็กซิโกเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเป็น 1.718 แสนล้านดอลลาร์ เวียดนามและไต้หวันก็มีการเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน
ปัจจัยหนึ่งที่เชื่อว่ามีบทบาทคือการหลบเลี่ยงภาษีโดยการขนส่งสินค้าจากจีนผ่านประเทศที่สาม โจเซฟ บริกส์ นักเศรษฐศาสตร์จากโกลด์แมน แซคส์ ประมาณการว่ามีธุรกรรมมูลค่า 3-5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ดำเนินการในลักษณะนี้ในปี 2023 บริษัทต่างๆ ยังใช้วิธี "เนียร์ชอริ่ง" โดยย้ายการผลิตไปยังประเทศที่อยู่ใกล้สหรัฐ
ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าสำคัญรายเดียวนอกจากจีนที่ไม่มีขาดดุลทางการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยช่องว่างยังคงใกล้เคียงกับปี 2017 ที่ 6.84 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2024 ประเทศในเอเชียนี้ซื้อคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนเครื่องยนต์อากาศยาน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากสหรัฐ เพิ่มขึ้นในปี 2024
บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า ภาษีนำเข้าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ทรัมป์ประกาศไว้เกี่ยวกับการนำการผลิตกลับมายังสหรัฐ มากนัก จำนวนแรงงานในภาคการผลิตของประเทศเพิ่มขึ้นเพียง 4% ระหว่างเดือนม.ค. 2017 ถึงธ.ค. 2024 ในขณะที่สัดส่วนของภาคการผลิตในการจ้างงานนอกภาคเกษตรลดลง 0.4 จุดเป็น 8.1%
รัฐบาลทรัมป์สมัยที่สองหวังที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ด้วยการขึ้นภาษีเพิ่มเติม นอกเหนือจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนแล้ว ประธานาธิบดียังกล่าวว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอียูด้วย
ผู้เชี่ยวชาญบางรายได้แสดงความเห็นว่าการเก็บภาษีนำเข้าแบบเหมารวมกับสินค้านำเข้าทั้งหมดทั่วโลกจะช่วยลดการหลบเลี่ยงผ่านการขนส่งผ่านประเทศที่สาม ซึ่งเป็นมาตรการที่ทรัมป์สนับสนุน
อย่างไรก็ดี การเก็บภาษีในวงกว้างเช่นนี้จะเป็นดาบสองคมสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะจะทำให้ต้นทุนของธุรกิจสูงขึ้น แม้ว่าภาษี 25% สำหรับสินค้าแคนาดาของทรัมป์จะยังไม่มีผลบังคับใช้เนื่องจากการผ่อนผันชั่วคราว วุฒิสมาชิกชัค กราสลีย์จากพรรครีพับลิกันของทรัมป์ได้ขอให้มีการยกเว้นภาษีสำหรับแร่โพแทช เนื่องจากเกษตรกรพึ่งพาการนำเข้าส่วนประกอบปุ๋ยนี้จากแคนาดาอย่างมาก
"การขาดดุลการค้าไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเลวร้าย ไม่จำเป็นต้องทำให้สูญเสียงาน และไม่ใช่ตัวชี้วัดว่านโยบายการค้าหรือข้อตกลงทางการค้านั้นเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม" สภาอนาคตโลกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัมระบุในรายงานเชิงกลยุทธ์ นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากสนับสนุนมุมมองนี้
อย่างไรก็ตาม รัฐในเขตรัสต์เบลต์ของสหรัฐ ซึ่งเป็นแหล่งรวมอุตสาหกรรมการผลิต เป็นภูมิภาคสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งกลางเทอมของสภาคองเกรส และนักการเมืองมักจะโน้มเอียงไปทางมาตรการสนับสนุนคนงานที่เข้าใจง่าย
ท้ายที่สุด บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า ทรัมป์เรียกการขาดดุลการค้าว่าเป็นการอุดหนุนประเทศอื่น และยังคงยืนยันจุดยืนในการใช้ภาษีนำเข้าเพื่อกำจัดการขาดดุลดังกล่าว