'ช้อปปี้' เจอศึกหนักคู่แข่งไล่บี้ หลัง 'ติ๊กต็อก' ผนึก 'โกทู' ในอินโดนีเซีย

'ช้อปปี้' เจอศึกหนักคู่แข่งไล่บี้ หลัง 'ติ๊กต็อก' ผนึก 'โกทู' ในอินโดนีเซีย

นักวิเคราะห์ชี้การลงทุนครั้งใหญ่ 5 หมื่นล้านบาทของ 'ติ๊กต็อก' ในอินโดนีเซียเพื่อลุยอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ จะเป็นศึกหนักของ 'ช้อปปี้' ซึ่งเบื้องต้นหุ้นร่วงรับข่าวไปแล้ว 5% ในวันนี้

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ราคาหุ้นของ Sea ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแพลตฟอร์ม ช้อปปี้ (Shopee) ปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ในตลาดสหรัฐลดลงถึง 5.33% แตะระดับ 37.87 ดอลลาร์ หลังจากร่วงไปถึง 7% ในช่วงการซื้อขายระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับการกลับเข้ามาลงทุนของแพลตฟอร์มติ๊กต็อกในตลาดอินโดนีเซีย

บรรดานักวิเคราะห์ระบุว่า ข่าวที่ติ๊กต็อก (TikTok) ประกาศแผนลงทุน 5 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 75% แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ "โทโกพีเดีย" (Tokopedia) ของบริษัทโกทู (GoTo)เพื่อเข้ามาลุยธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซียอย่างเต็มตัวนั้น อาจสร้างแรงกดดันครั้งใหญ่ให้กับช้อปปี้ จากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอีคอมเมิร์ซในอาเซียนอยู่ในปัจจุบัน  

ส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ประกาศเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมาก็คือ โทโกพีเดียและธุรกิจของติ๊กต็อกชอปในอินโดนีเซีย จะควบรวมเข้าด้วยกันเพื่อขยายกิจการของโทโกพีเดียให้ใหญ่ขึ้น โดยติ๊กต๊อกจะถือหุ้นในสัดส่วน 75.01% และจะอัดฉีดเม็ดเงินลงทุน 1.5 พันล้านดอลลาร์ในโทโกพีเดีย

เจียงกาน หลี่ นักวิเคราะห์จากโมเมนตัม เวิร์กส์ บริษัทวิจัยเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ข้อตกลงระหว่างโกทูกับติ๊กต็อกนับเป็น "การเดินหมากที่ชาญฉลาด" โดยชี้ว่าติ๊กต็อกชอปจะมีอำนาจในการดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีความชอบธรรมที่จะดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซและใช้ประโยชน์จากคู่ค้าท้องถิ่นได้ 

ก่อนหน้านี้ ติ๊กต็อกต้องถอนตัวจากตลาดอินโดนีเซียเนื่องจากรัฐบาลจาการ์ตาได้ประกาศห้ามการทำธุรกิจโซเชียลคอมเมิร์ซ หรือการทำอีคอมเมิร์ซบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับติ๊กต็อก จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในอินโดนีเซียตามมา 

ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีผู้ใช้ติ๊กต็อก 125 ล้านคน ซึ่งนับเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ โดยแยกกับตลาดในจีนที่เป็นบ้านเกิดและใช้ชื่อแพลตฟอร์มว่าโต่วอิน

ไค หวัง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์อาวุโสของมอร์นิงสตาร์ กล่าวว่า "เรามองว่าการควบรวมกิจการดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันให้กับช้อปปี้มากขึ้น ในขณะที่ช้อปปี้กำลังเผชิญกับความยกลำบากในการทำกำไร"

ก่อนหน้านี้ ซีได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2566 ขาดทุนสุทธิ 143.9 ล้านดอลลาร์ หรือแย่ลงจากเดิมที่ทำกำไรได้ในไตรมาส 2 ที่ 331 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่บริษัทมุ่งเน้นไปที่การเติบโตมากกว่าความสามารถในการทำกำไรเพื่อปกป้องส่วนแบ่งในตลาด