กระทรวงดีอี จ่อสร้างตึกใหม่รับนโยบายดิจิทัลประเทศ

เตรียมย้ายกระทรวงดีอีออกจากศูนย์ราชการฯ สู่พื้นที่ใหม่ ปลัดดีอี เผย ล่าสุดดูทำเลเช่าที่ราชพัสดุเตรียมสร้างแล้ว รับแผนงาน-สำนักงานดิจิทัล
ความคืบหน้าการบริหารจัดการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี นอกจากการสรรหารัฐมนตรีคนใหม่ พร้อมทั้งสานต่อพันธกิจที่เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจของประเทศแล้ว การขับเคลื่อนของกระทรวงที่ได้ชื่อว่า มีความรับผิดชอบนโยบายด้านดิจิทัลของประเทศ ยิ่งมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะประเด็นการเตรียมย้ายที่ทำการจากเดิมอยู่ในศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ไปในพื้นที่ใหม่ ที่ต้องมีการก่อสร้างใช้เงินงบประมาณที่คาดว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
เลือกทำเลเนรมิตรกระทรวงใหม่
นางทรงพร โกมลสุรเดช ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม (ดีอี) กล่าวถึง การเตรียมการจัดหาสถานที่ตั้งกระทรวงแห่งใหม่ว่า เบื้องต้นกระทรวงดีอีคงต้องย้ายที่ทำการแน่นอน เพราะหลังจากมีการปรับโครงสร้างและตั้งกระทรวงใหม่จะมีสำนักสำนักงานดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งมีสถานะเป็นกรม เพื่อทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างไม่เกิน 5 ปี
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาพื้นที่ใหม่ในการสร้างตึกจึงยังไม่มีข้อสรุปเรื่องงบประมาณ และกรอบเวลาที่ชัดเจนในการก่อสร้างโดยอยู่ระหว่างการร่างแบบและกำหนดรายละเอียดในการก่อสร้าง เบื้องต้นมองสถานที่ไว้ 2 แห่งซึ่งจะเช่าที่ราชพัสดุ โดยมองสถานที่ไว้ 2 แห่ง คือถ.แจ้งวัฒนะ และถ.งามวงศ์วาน โดยสองแห่งคือ ถ.แจ้งวัฒนะ ก็พิจารณาพื้นที่บริเวณศูนย์ราชการ ส่วนถ.งามวงศ์วานจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตึกทีโอที อะคาเดมี่
สำหรับสาเหตุที่ต้องย้ายสถานที่ใหม่เป็นเพราะกระทรวงมีขนาดใหญ่ขึ้น มีหน่วยงานในสังกันเพิ่มมากขึ้น อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (คณะกรรมการดีอี) และการสร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ (ไอดีซี) และต้องมีคณะทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามภัยไซเบอร์ประกอบกับทุกระทรวงมีสถานที่ตั้งเป็นของตนเองกระทรวงดีอีก็ควรมีสถานที่ตั้งที่ชัดเจนด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เมื่อจัดทำร่างแบบโครงการก่อสร้างเสร็จแล้วจะเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและดำเนินการก่อสร้างต่อไป สำหรับที่ทำการปัจจุบันหากมีการย้ายที่ทำการกระทรวงแล้วจะมอบให้เป็นที่ตั้งของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี (ปอท.)
“ในระหว่างนี้เราก็เช่าพื้นที่อยู่ที่ศูนย์ราชการที่เดิมชั้น 6-9 แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะเพียงพอกับกำลังพลใหม่ที่จะเสริมเข้ามา ส่วนตึกทีโอทีอาคารสำนักงารใหญ่ ถ.แจ้งวัฒนะ เดิมยอมรับว่ามีแผนจะขอในชั้น 12-14 แต่ไปสำรวจมาแล้วพบว่าไม่เพียงพอ และภายในสำนักงานฯค่อนข้างเก่า จะต้องปรับปรุงใหม่ทำให้อาจจะเสียค่าใช้จ่ายเยอะ จึงไม่น่าคุ้มค่า และกระทรวงควรมีตึกเป็นของตัวเองได้แล้ว ซึ่งงบประมาณอยู่ระหว่างการพิจารณา และรอเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)” นางทรงพร กล่าว
ขณะที่ ความคืบหน้าส่วนของพ.ร.บ.ส่งเสริมดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ... และพ.ร.บ.คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพ.ศ. ... ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในสิ้นปีนี้ และต้องรอสำนักงานราชการพลเรือน (ก.พ.) จัดสรรกำลังพลมาอยู่ภายใต้สำนักงานใหม่ที่ตั้งขึ้นราว 300 อัตรา
มุ่งสู่ “รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์”
ขณะที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงกระทรวงดีอี ต้องปรับวิธีทำงาน ทำตัวตนให้เป็นรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริง รัฐวิสาหกิจในสังกัดต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหาร ลดความซ้ำซ้อนการทำงาน เพื่อให้มีผลงานเป็นรูปธรรม
อีกทั้ง มั่นใจว่า เมื่อการขยายโครงสร้างพื้นฐานประเทศครอบคลุมทุกพื้นที่แล้ว มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีพร้อม รวมถึงการพัฒนาคนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และสามารถใช้เทคโนโลยีต่อยอดจากภูมิปัญญา หรือธุรกิจที่มีอยู่ เชื่อว่า สินค้าและบริการของไทยจะไปสู่ตลาดโลกได้แน่นอน
ปัจจุบันคนไทยกว่า 67 ล้านคน สามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟน และรู้จักอินเทอร์เน็ต การค้าขายออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่เรื่องที่ยาก
ส่วนการค้าการลงทุนในรูปแบบอีคอมเมิร์ซ จะเห็นได้ว่า ในปี 2557 ตลาดนี้มีมูลค่าถึง 2 ล้านล้านบาท และเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยในปี 2558 มีมูลค่าอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ว่า ในปี 2559 นี้ ตลาดอีคอมเมิร์ซ จะมีมูลค่าถึง 2.5 ล้านล้านบาท โดยรัฐเตรียมสนับสนุนแผนอีคอมเมิร์ซของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สพธอ. หรือ เอ็ตด้า ที่กำลังดำเนินการรวบรวมข้อมูลผู้ประกอบการ แผนนี้จะเน้นที่การทำธุรกิจอย่างชัดเจน ครอบคลุมถึงผลได้ผลเสียของผู้ประกอบการ
สานต่อ “ไซเบอร์ ซิเคียวริตี้”
ทั้งนี้ กระทรวงดีอียังต้องดูแลส่วนของแผนกฎหมายความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือ ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ซึ่งขณะนี้ ยังคงอยู่ในช่วงการร่างแผน ซึ่งเป็นขั้นตอนใกล้เสร็จสิ้นโดยรัฐบาลได้เริ่มดำเนินการเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2558 เมื่อรวบรวมเสร็จสิ้นของมาเป็นร่างแล้ว จะส่งไปที่กฤษฎีกาตีความ และให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา และส่งไปที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คาดว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จ ได้ใช้ในไตรมาส 2 ปี 2560
“มีหลายโครงการที่รัฐร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ผลักดันให้ไทยไปสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ 4.0 เช่น โครงการสมาร์ทซิตี้ ที่นำร่องในภูเก็ตและเชียงใหม่ เมื่อต่างชาติได้เห็นก็จะมั่นใจที่จะลงทุนในไทย มีการทำธุรกิจด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดงานและรายได้” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว







