จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

เยือนแดนกิมจิ ชวนย้อนประวัติศาสตร์ ก่อนเกาหลีใต้จะไต่ขึ้นสู่การเป็นประเทศแถวหน้าของโลกได้อย่างวันนี้ พวกเขาต้องเติบโตจากบาดแผลที่ชื่อว่า "สงครามเกาหลี"

KEY

POINTS

  • นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยประวัติศาสตร์สงครามเกาหลีในกรุงโซลและเมืองปูซาน เพื่อเรียนรู้บาดแผลและความเจ็บปวดจากสงคราม
  • เยี่ยมชมสถานที่สำคัญที่สะท้อนเรื่องราวสงคราม เช่น อนุสรณ์สถานแห่งสงครามเกาหลีในโซล และหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอนซึ่งเคยเป็นชุมชนผู้ลี้ภัยในปูซาน
  • ค้นพบร่องรอยของสงครามที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิตและวัฒนธรรม เช่น ที่มาของบะหมี่เย็น "มิลมยอน" ซึ่งดัดแปลงขึ้นโดยผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือ
  • รำลึกถึงความสูญเสีย ณ สุสานทหารสหประชาชาติในปูซาน ซึ่งเป็นสถานที่ฝังร่างทหารที่เสียชีวิตในสงคราม และตอกย้ำแนวคิดว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง

"เกาหลีใต้" ในสายตานักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงการตามรอยซีรีส์-หนังดัง เช็คอินตามศิลปินคนโปรด และแน่นอนว่า ต้องไม่พลาดการช้อปปิ้งทั้งเสื้อผ้า สกินแคร์ เครื่องสำอาง รวมถึงเดินสายเข้าร้านกาแฟดีไซน์เก๋ถูกใจชาว cafe hopping ทั้งหลาย

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

แต่เราจะชวนกันมาลองพับเก็บเส้นทางยอดนิยมไปก่อน แล้วหันไปย้อนดูเรื่องราวในอดีต ก่อนที่เกาหลีใต้จะไต่ขึ้นสู่การเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อทั้งเรื่องความไฮเทคและคอนเทนต์บันเทิงครองใจคนทั้งโลกได้อย่างวันนี้ พวกเขาต้องเติบโตขึ้นบนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ชื่อว่า “สงครามเกาหลี” ที่แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ยังคงทิ้งรอยลึกไว้ให้กับคนในชาติ

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

สงครามเกาหลี (1950 - 1953) ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ยังคงเป็นความจริงอยู่ในชีวิตผู้คนเกาหลีใต้ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะหมู่บ้านเล็กๆ ในปูซาน อนุสรณ์สถาน และพิพิธภัณฑ์สงครามที่รอให้เราเข้าไปเรียนรู้​ หรือแม้กระทั่งเมนูดังอย่างบะหมี่เย็นก็ยังมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์สงครามด้วยเช่นกัน

ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KOREA TOURISM ORGANIZATION) ได้ชวนสื่อมวลชนไทยเดินทางไปเข้าร่วมงานวันรำลึกวีรชนสหประชาชาติ ครั้งที่ 19 เมืองปูซาน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 พฤศจิกายน ของทุกปี พร้อมร่วมทริป UN Memorial Day Fam Tour เพื่อเปิดมุมมองการท่องเที่ยวผ่านร่องรอยสงครามในสองเมืองสำคัญ คือ กรุงโซล และ ปูซาน

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ย้อนเรียนรู้ ‘สงครามเกาหลี’

ถ้าอยากเริ่มทำความเข้าใจประวัติศาสตร์สงครามเกาหลีในภาพรวม ขอให้เริ่มต้นที่ War Memorial of Korea อนุสรณ์สถานแห่งสงครามเกาหลี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตยงซาน กรุงโซล เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1994 เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ยักษ์ชนิดถ้าจะเดินจริงจังน่าจะต้องใช้เวลาเป็นวัน

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

อนุสาวรีย์สงครามเกาหลี ที่ ด้านหน้า War Memorial of Korea

War Memorial of Korea เป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์สงครามอย่างละเอียด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ไฮไลต์สำคัญ คือ “สงครามเกาหลี” ซึ่งผู้จัดได้รวบรวมอาวุธ ยุทโธปกรณ์ เครื่องบินรบ รถถัง อาวุธต่างๆ มาให้ได้ชม โดยมีทั้งห้องจัดแสดงในอาคาร พื้นที่จัดแสดงกลางแจ้ง และ พิพิธภัณฑ์เด็ก อัดแน่นเรื่องราวเข้มข้นว่าด้วยสงคราม รวมถึงที่นี่ยังมีป้ายรำลึกแด่ทหารจากนานาประเทศ รวมถึงประเทศไทย ที่ได้มาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่บนแผ่นดินเกาหลีด้วย

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ธงชาติไทยโบกสะบัดร่วมกับนานาประเทศพันธมิตรผู้ร่วมรบกับเกาหลีใต้

จากด้านนอก เราจะต้องเดินทั้งไกล และขึ้นบันไดค่อนข้างสูง เพื่อเข้าสู่ตัวอาคาร เรื่องนี้มีสาเหตุ โดยไกด์ผู้นำชม อธิบายเหตุผลว่า การที่มีบันไดสูง และต้องเดินไกลกว่าจะถึงตึกนั้น ก็เพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมได้เข้าใจถึงความยากลำบากของทหารและผู้คนในยุคนั้น ผ่านความพยายามเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ผนังแห่งเรื่องราว บทบันทึกวีรชนผู้ร่วมรบจากนานาประเทศ

เรื่องหนึ่งที่ต้องแจ้งก่อนเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นั่นคือ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว และถึงแม้จะมีการจัดแสดงรถถัง ยุทโธปกรณ์มากมายให้ตื่นตาตื่นใจ แต่การเข้าชมรวมถึงถ่ายภาพที่นี่ ควรเป็นไปด้วยเคารพในประวัติศาสตร์และความสูญเสียที่เกิดขึ้นในอดีต

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

การได้มาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ยิ่งทำให้เราเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นของสงครามเกาหลี รวมถึงได้เข้าใจความสำคัญของ “ปูซาน” ในฐานะ “ที่มั่นสุดท้าย” ได้ดียิ่งขึ้น

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ป้ายสดุดีทหารไทยผู้กล้า 136 นายซึ่งพลีชีพในสงครามเกาหลี โดยไทยเป็นชาติเดียวในเอเชียที่ส่งทหารมาร่วมรบ

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

“ปูซาน” จากวันนั้น สู่วันนี้

การเดินทางระหว่างโซล-ปูซานในปัจจุบันแสนสะดวก ถ้าไม่นั่งเครื่องบินก็ยังสามารถเลือกโดยสารด้วย KTX (Korea Train Express) รถไฟความเร็วสูงที่ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ปูซาน ในวันนี้ นอกจากจะมีชื่อเสียงในฐานะ “เมืองท่าริมทะเล”​ ยังเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลหนังระดับโลก Busan International Film Festival (BIFF) รวมถึงไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวชอบที่จะไปเช็คอินถ่ายรูปอย่างชายหาดแฮอุนแด และที่ชาวโซเชียลชอบมากก็คือ การนั่ง Haeundae Sky Capsule ที่คนไทยให้ชื่อเล่นว่า รถไฟปุ๊กปิ๊ก สีสันน่ารัก

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

รวมถึงการนั่งรถไฟ Beach Train เลาะริมทะเลชมวิวสวยๆ ที่สามารถแวะลงสถานีระหว่างทางซึ่งมีจุดชมวิวเด็ดๆ อย่าง Cheongsapo Daritdol Skywalk ทางเดินกระจกที่ยื่นลงไปในทะเล จุดวัดใจของคนไม่กลัวความสูง

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ช่วงเริ่มต้นของ Cheongsapo Daritdol Skywalk ที่ยังมีพื้นไม้สำหรับคนใจไม่ถึงได้เหยียบ แต่หากเดินต่อไปอีก จะเป็นทางเดินกระจกล้วน

นอกจากนี้ อีกหนึ่งของดีปูซานที่คนรักการถ่ายรูปไม่ควรพลาดก็คือ “อาร์เต้ มิวเซียม ปูซาน” (ARTE MUSEUM BUSAN) พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ขอการันตีว่า ถ้าใครได้มาเป็นไม่เสียดายเวลาหรือเสียดายเงินอย่างแน่นอน เพราะที่นี่เขาทำถึงสุดๆ

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

อาร์เต้ มิวเซียม ปูซาน (ARTE MUSEUM BUSAN)

แม้ปัจจุบันปูซานเป็นเมืองริมทะเลสุดชิล เต็มไปด้วยงานอาร์ต แต่ในช่วงสงครามบรรยากาศของเมืองใหญ่อันดับสองของเกาหลีใต้แห่งนี้ ถือเป็น “ห้วงเวลาแห่งการเอาตัวรอด” จากการรุกลงใต้โดยเกาหลีเหนือ ทำให้กองทัพเกาหลีใต้ต้องถอยร่นลงมาเรื่อยๆ จนเหลือหลักยันเพียงสองเมือง คือ ปูซาน และ แทกู ที่ยังเป็นอิสระจากเกาหลีเหนือ ส่งผลให้ปูซานในช่วงนั้น ต้องรองรับการอพยพของประชาชนราว 5 แสนรายที่หอบลูกจูงหลานมุ่งลงใต้เพื่อความอยู่รอด

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

วัด Haedong Yonggungsa วัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในปูซาน และขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์

ปูซานที่เห็นวันนี้ จึงไม่ใช่แค่เมืองชายทะเล แต่ยังเคยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการสู้รบ ซึ่งให้กองทัพเกาหลีใต้และพันธมิตรที่ร่วมรบตั้งหลักได้และตีคืนเมืองจนเกาหลีเหนือถอยร่นกลับไปได้สำเร็จ

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

หุบเขาสีลูกกวาดจากบ้านเรือนที่เรียงรายที่หมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน

จากชุมชนผู้ลี้ภัย สู่หมู่บ้านแห่งศิลปะ

แม้สงครามจะล่วงมาแล้วกว่า 70 ปี และยุคสมัยก็ได้เปลี่ยนผ่านปูซานจากเมืองบ้านนอกสู่เมืองใหม่ที่เปี่ยมด้วยศิลปวัฒนธรรมมากมาย และยังเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของเกาหลีใต้ แต่ร่องรอยจากสงครามยังคงมีให้พบเห็นได้ในวิถีชีวิตปัจจุบัน

หมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน (Gamcheon Culture Village) คือหนึ่งในบทบันทึกที่เราสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้ผ่านการท่องเที่ยว

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

งานศิลปะเกี่ยวกับวรรณกรรมระดับโลก "เจ้าชายน้อย" ที่พบเห็นได้ในหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน เป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ

ภายใต้บ้านเรือนหลังน้อยสีพาสเทลที่ตั้งลดหลั่นอัดแน่นลงไปในหุบเขามองรวมๆ เหมือนลูกกวาดสีสวยนั้นมีเรื่องราวในน้ำตาซ่อนอยู่ โดยหมู่บ้านแห่งนี้เป็นจุดสำคัญที่รองรับผู้ลี้ภัยที่หนีตายจากภัยสงครามมาตั้งรกราก

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

บ้านจำลองภาพความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยที่ต้องแออัดเบียดกันในที่พักแคบๆ เพื่อเอาชีวิตรอด

ดั้งเดิม ที่นี่เป็นพื้นที่ยากจน ผู้ลี้ภัยสร้างบ้านเรือนแบบง่ายๆ ชนิดที่ไม่น่าจะเรียกว่าบ้านได้ เพราะเป็นคล้ายเพิงพักเพียงบังลมฝนได้เล็กน้อย การกินอยู่ก็ยากลำบาก กระทั่งต่อมา รัฐบาลได้เข้ามาช่วยปรับปรุงฟื้นฟูที่พักอาศัยให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองโดยผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรม ทำให้หมู่บ้านกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนได้กลายเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ จนถูกขนานนามว่า “มาชูปิกชูแห่งเกาหลี” และ “ซานโตรินีแห่งเกาหลี” อย่างในปัจจุบัน

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ไฮไลต์ที่เหล่า ARMY แฟนๆ วงบีทีเอสพลาดไม่ได้

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ไฮไลต์ที่เหล่า ARMY แฟนๆ วงบีทีเอสพลาดไม่ได้

ลี้ภัยบนซากสุสาน

การจะเข้าใจสงครามผ่าน “สถานที่” บางครั้งไม่ต้องเริ่มจากอนุสรณ์ใหญ่โต แต่เริ่มจากชุมชนเล็ก ๆ บนเนินเขาอย่าง Ami-dong Tombstone Culture Village ก็พอ

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

การเดินชมหมู่บ้านวัฒนธรรมหลุมฝังศพอามีดง ควรเป็นไปอย่างสงบเงียบ เนื่องจากที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ชาวบ้านยังอาศัยอยู่จริงๆ

หมู่บ้านวัฒนธรรมหลุมฝังศพอามีดง ถูกจัดให้เป็นหมู่บ้านสัญลักษณ์ที่สะท้อนประวัติศาสที่เจ็บปวดและวัฒนธรรมร่วมของปูซาน ย้อนไปถึงช่วงปลายราชวงศ์โชซอน ชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งรกรากที่บริเวณนี้ และมีการสร้างสุสานสำหรับฝังศพผู้เสียชีวิต ต่อมาเมื่อเกิดสงครามเกาหลี เมื่อผู้ลี้ภัยจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา และเริ่มตั้งถิ่นฐาน ด้วยทรัพยากรอันจำกัด ทำให้ส่วนมากจำเป็นต้องนำศิลาหินและแท่นหินจากสุสาน มาใช้เป็นฐานราก ขั้นบันได จนถึงกำแพง เพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งร่องรอยเหล่านี้ยังคงปรากฏให้เห็นถึงปัจจุบัน

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ป้ายหลุมฝังศพที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นฐานรากของบ้านพักอาศัย

คำว่า “Tombstone” ที่ปรากฏในชื่อหมู่บ้านจึงไม่ใช่กิมมิกท่องเที่ยวเก๋ๆ แต่มาจากหลักฐานที่จับต้องได้จริง เมื่อหินก้อนหนึ่งที่เคยเป็น “เครื่องหมายของการจากลา” ได้ถูกเปลี่ยนบทบาทให้เป็น “เครื่องมือของการอยู่รอด”

“บะหมี่เย็น” เมนูจากคนพลัดถิ่น

ประวัติศาสตร์แม้จะถูกเก็บไว้บอกเล่าในพิพิธภัณฑ์ แต่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย ที่เราสามารถเรียนรู้มันได้บนโต๊ะอาหาร

ทำไม “บะหมี่เย็น” ของดีเมืองปูซานจึงเกี่ยวข้องกับสงครามนั้น เหตุผลก็เป็นเพราะว่า นี่คือเมนูที่มีต้นกำเนิดจากพื้นที่เกาหลีเหนือปัจจุบัน และถูกนำมาสู่ปูซานพร้อมๆ กับการอพยพของผู้คน

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ปกติแล้ว บะหมี่เย็น แบบดั้งเดิมจะต้องทำจากบัควีต แต่ด้วยความขาดแคลนในช่วงสงคราม ทำให้มีการดัดแปลง ใช้แป้งสาลีที่ได้จากกองทัพสหรัฐมาใช้แทน จนเกิดเป็นบะหมี่เย็นตำรับปูซานเรียกว่า “มิลมยอน” (บะหมี่เย็นแบบดั้งเดิมจะเรียกว่า แนงมยอน) ที่เหนียวนุ่มบวกกับน้ำซุปเย็นสดชื่นพร้อมแตงกวาหั่นฝอยหรือหัวไชเท้าดองเกลือเล็กน้อยให้เข้ากันจนคนทานต้องติดใจ

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ร้าน “แนโฮ แนงมยอน” (Neho Naengmyeon) น่าจะถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกบะหมี่เย็นที่ปูซานเลยก็ว่าได้ โดยเริ่มเปิดร้านที่ปูซานในปี 1953 นับจนถึงปัจจุบันก็เกิน 70 ปีแล้ว แต่ถ้านับตั้งแต่ร้านแรกเริ่มของตระกูลจริงๆ นั่นต้องย้อนไปถึงปี 1919 แต่ตอนนั้นใช้ชื่อว่า “ทงชุนมยอนอก” ที่เมืองฮึงนัม ประเทศเกาหลีเหนือ พอย้ายมาที่ปูซานเปิดร้านใหม่อีกครั้ง ก็เลยใช่ชื่อ “แนโฮ” ตามชื่อหมู่บ้านเดิมในเกาหลีเหนือเพื่อคลายความคิดถึงบ้าน

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

"ยู ซังโม" วัย 70 ปี ‘รุ่น 3’ ของร้าน ที่วันนี้ส่งต่อให้ลูกชายบริหารต่อในฐานะรุ่น 4 เล่าให้เราฟังว่า ตัวเขาเองย้ายมาปูซานตั้งแต่ตัวน้อยๆ แม้จะยังจำความอะไรไม่ค่อยได้ แต่สิ่งที่บรรพบุรุษสั่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ที่เหมือนเป็นกฎเหล็กของตระกูลเลยก็คือ หนึ่ง-ห้ามย้ายร้านไปที่ไหน และ สอง-ร้านจะต้องดำเนินงานโดยคนในตระกูลเท่านั้น

สำหรับข้อแรก เขาบอกว่า จากการอพยพย้ายมาของรุ่นทวดนั้น มาพร้อมกับความหวังว่า สักวันจะได้กลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง เลยสั่งลูกหลานว่า ไม่ต้องย้ายร้านไปไหน เพราะวันหนึ่งก็จะย้ายกลับอยู่ดี

“ถ้าขยายสาขา รสชาติก็จะเปลี่ยนไป แล้วก็ไม่ย้ายร้านด้วย เพราะพ่อแม่สั่งไว้ว่า ห้ามย้ายไปไหน”

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ยู ซังโม ขณะเล่าเรื่องอดีตสมัยที่ครอบครัวอพยพมาปูซาน เมื่อปี 1950

แม้จะยอมรับว่า ความฝันของคุณทวดที่ว่า วันหนึ่งเกาหลีจะได้รวมประเทศนั้น ยากจะเกิดขึ้นจริงได้ แต่คำสั่งเสียของบรรพบุรุษยังสำคัญที่สุด ก็เลยไม่คิดย้ายร้านไปไหน

ส่วนข้อสองที่ว่าต้องทำโดยคนในตระกูลเท่านั้น ก็เพื่อควบคุมมาตรฐานของอาหารไม่ให้เปลี่ยนรสชาติไป

สองข้อรวมกันก็เลยเป็นเหตุให้ แนโฮ แนงมยอน ไม่มีสาขา ไม่มีแฟรนไชส์ และไม่ว่าจะขายดีลูกค้าแน่นขนาดไหน ก็จะไม่ย้ายร้านไปที่อื่นโดยเด็ดขาด

ปัจจุบัน แนโฮ แนงมยอน ถือเป็นร้านในตำนานโดยได้บรรจุในทำเนียบ "ร้านค้าร้อยปี" จากรัฐบาล ซึ่งมีเพียง 2 ร้านในปูซานเท่านั้นที่ได้ติดลิสต์นี้

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

สงครามที่ไม่มีคำว่า “ผู้ชนะ”

ปลายทางของเส้นทางตามรอยสงครามที่จบด้วยพื้นที่ที่ทำให้เรา “เงียบ” ได้จริง

สุสานอนุสรณ์สถานแห่งสหประชาชาติในเกาหลี (United Nations Memorial Cemetery in Korea - UNMCK) ในปูซาน คือ สุสานทหารสหประชาชาติแห่งเดียวในโลก และเป็นที่ฝังร่างของทหารกองกำลัง UN ที่เสียชีวิตในสงครามเกาหลี

สุสานนี้จัดสร้างขึ้นตั้งแต่ มกราคม 1951 เพื่อฝังผู้เสียชีวิตจากสงครามเกาหลี ต่อมาในปี 1955 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มอบพื้นที่นี้ให้สหประชาชาติ เป็นการถาวร เพื่อแสดงความขอบคุณต่อการเสียสละของกองกำลัง UN

เดิมเคยมีผู้เสียชีวิตถูกฝังไว้ราว 11,000 ราย แต่ภายหลังมีการส่งร่างกลับประเทศต้นทาง ทำให้ปัจจุบันมีหลุมศพอยู่ราว 2,300 หลุม หนึ่งในนั้น คือ อัฐิของจ่าสิบเอก รอด อาสนพรรณ ทหารผ่านศึกสงครามเกาหลี ซึ่งแม้รอดชีวิตจากสงคราม แต่ในจ่าสิบเอก รอด ได้สั่งเสียไว้ขอให้นำอัฐิมาบรรจุไว้ ณ สุสานอนุสรณ์สถานแห่งสหประชาชาติในเกาหลี (UNMCK) นครปูซาน โดยทำพิธีเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งตรงกับวันรำลึกผู้เสียสละสงคราม “Turn Toward Busan” ซึ่งนับเป็นทหารผ่านศึกชาวไทยคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

จาก 'โซล' ถึง 'ปูซาน' ตามรอยสงครามที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ

ธงชาติที่โบกสะบัดเหนือสนามหญ้าเรียบกริบ แถวหลุมศพที่เป็นระเบียบ และบรรยากาศเงียบสงบ ทำให้การได้มาเยือน สุสานอนุสรณ์สถานแห่งสหประชาชาติในเกาหลี จึงเป็นไปเพื่อเรียนรู้อดีต และความโหดร้ายจากสงครามที่ปลายทาง คือ ความสูญเสียด้วยกันทั้งสิ้น