คนหย่ากันเพราะ ‘เอไอ’ นอกใจกับ ‘แชตบอต’ เพิ่มขึ้น เมื่อเทคโนโลยีตอบโจทย์ความสัมพันธ์มากกว่าคน

คนหย่ากันเพราะ ‘เอไอ’ นอกใจกับ ‘แชตบอต’ เพิ่มขึ้น เมื่อเทคโนโลยีตอบโจทย์ความสัมพันธ์มากกว่าคน

เมื่อ “เอไอ” ได้ดั่งใจผู้ใช้งาน ตอบโจทย์ความสัมพันธ์มากกว่าคน ทำให้คนนอกใจกับ “แชตบอต” นำไปสู่การหย่าร้างเพิ่มขึ้น

KEY

POINTS

  • แชตบอตเอไอกลายเป็นสาเหตุของการหย่าร้าง เนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ได้ดีกว่าคนรัก ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความผูกพันและนำไปสู่การนอกใจ
  • ปรากฏการณ์นี้สร้างความท้าทายทางกฎหมาย ว่าการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเอไอถือเป็นการนอกใจหรือไม่ และยังส่งผลกระทบต่อการพิจารณาคดีหย่าร้างในด้านการเงินและสิทธิเลี้ยงดูบุตร
  • มีสถิติและกรณีศึกษาจริงจากต่างประเทศที่ชี้ว่าการหย่าร้างที่เกี่ยวข้องกับเอไอมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยจากการที่คู่สมรสหมกมุ่นและใช้จ่ายเงินจำนวนมากไปกับความสัมพันธ์เสมือนจริง

ในยุคที่ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ “เอไอ” ก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ทุกมิติ ตั้งแต่การทำงานไปจนถึงเป็นเพื่อนคลายเหงา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “ชีวิตคู่” ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนที่สุดของมนุษย์ จะถูกเทคโนโลยีเข้าแทรกแซง จนหลายคู่ถึงขั้น “เลิกรา

เดิมที “เอไอแชตบอต” มีหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยของมนุษย์เท่านั้น แต่ในตอนนี้ได้วิวัฒนาการจนสามารถสนับสนุนทางอารมณ์ให้แก่ผู้ใช้งาน พึ่งพาได้ ไม่เคยขัดใจและไม่ชวนทะเลาะ ต่างจากมนุษย์ที่มีอารมณ์และความคิดเห็นเป็นของตนเอง ไม่ได้เห็นด้วยไปเสียทุกเรื่อง ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงเกิดความผูกพันกับเอไอโดยไม่รู้ตัว เกิดการเปรียบเทียบกับคู่ชีวิต บางคนถึงขั้นตกหลุมรักเอไอ นำไปสู่การหย่าร้างในที่สุด

ทนายความด้านกฎหมายครอบครัว เอลิซาเบธ หยาง คาดการณ์เอไอจะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นจริงมากขึ้น เห็นอกเห็นใจมากขึ้น และเข้าใจผู้ใช้งานมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีความสุขในชีวิตคู่ หันไปหา “ความรัก” จากแชตบอตเพิ่มมากขึ้น

ปรากฏการณ์นี้ได้ก่อให้ความท้าทายในด้านกฎหมาย ว่าท้ายที่สุดแล้ว การที่คนรักของเราไปคุย หรือมีปฏิสัมพันธ์เชิง 18+ ถือว่าเป็นการนอกใจหรือไม่?

บางคนอินกับความสัมพันธ์กับเอไอมากถึงขนาดที่ทำให้เกิดการหย่าร้างใน นิตยสาร Wired รายงานเรื่องราวของหญิงคนหนึ่งที่ตัดสินใจยุติการแต่งงานที่ยาวนานถึง 14 ปี หลังจากพบว่าสามีของเธอเชื่อว่าตนเองมีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับผู้หญิงเสมือนจริงที่เขาเรียกว่า “สาวละตินที่น่ารัก” และใช้เงินไปหลายพันดอลลาร์กับบัตรเครดิต OnePay และแอปพลิเคชันเอไอ

นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Divorce-Online ในสหราชอาณาจักรระบุว่า การยึดติดทางอารมณ์ของคู่รักกับแชตบอตเอไอ กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดการหย่าร้าง ซึ่งพบได้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นพลวัตที่แปลกประหลาดในความสัมพันธ์ยุคปัจจุบัน เมื่อใครบางคนมีปัญหาความรัก แล้วหมกมุ่นอยู่กับแชตบอตเพื่อค้นหาคำแนะนำในการบำบัด คำปรึกษาชีวิตคู่ หรือภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณ แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างกลับแย่ลง และทำให้ชีสิตคู่พังทลาย

รีเบคกา ปาล์มเมอร์ ทนายความที่ทำคดีหย่าร้างจากการคบชู้กับเอไอ ให้ความเห็นว่า กฎหมายยังคงต้องพัฒนาไปพร้อมกับเอไอ เพราะบางคนก็คิดว่านี่คือความสัมพันธ์ที่แท้จริง และบางครั้งก็ดีกว่าความสัมพันธ์กับคนด้วยซ้ำ

“คู่สมรสสามารถนอกใจกับเอไอได้จริงหรือไม่?” กลายเป็นคำถามที่ถกเถียงกันในหมู่ทนายความและศาล ซึ่งปัญหานี้ยิ่งทำให้การตัดสินคดีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น ลำพังแค่การตัดสินฟ้องหย่า จากเหตุผลนอกใจกับมนุษย์ตัวเป็น ๆ ก็ต้องสืบพยานยุ่งยากมากแล้ว เพราะในบางรัฐของสหรัฐ เช่น มิชิแกน วิสคอนซิน และโอคลาโฮมา การคบชู้ถือเป็นความผิดทางอาญาที่มีโทษจำคุกสูงสุดถึงห้าปีหรือปรับสูงสุด 10,000 ดอลลาร์

รัฐอย่างแคลิฟอร์เนียจะเป็นรัฐที่ไม่มีการระบุความผิด ซึ่งศาลไม่ต้องการทราบเหตุผลเบื้องหลังความล้มเหลวของการสมรส แต่เมื่อคู่สมรสเกิดผูกพันทางอารมณ์กับเอไอ จนก่อให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ ก็ทำให้การมีสัมพันธ์กับเอไอ กลายเป็นเหตุผลในการหย่าร้างได้ในที่สุด

นอกจากประเด็นเรื่องการนอกใจแล้ว ความสัมพันธ์กับเอไอยังส่งผลกระทบต่อด้านอื่น ๆ ของกฎหมายครอบครัวอีกด้วย ปาล์มเมอร์เปิดเผยว่า เธอกำลังทำคดีเกี่ยวกับคู่สมรสที่ใช้เงินไปกับแชตบอตอย่างฟุ่มเฟือย และที่น่าตกใจคือได้มีการแบ่งปันข้อมูลส่วนตัว เช่น บัญชีธนาคารและหมายเลขประกันสังคมกับแชตบอต

การใช้จ่ายเงินอย่างสิ้นเปลืองนี้ สามารถใช้เป็นเหตุในการฟ้องหย่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่มีกฎหมายทรัพย์สินส่วนกลาง หากคู่สมรสสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองไปกับค่าสมัครสมาชิกหรือค่าบริการแชตบอตที่ถูกซ่อนไว้

ยิ่งไปกว่านั้น ในประเด็นการต่อสู้เพื่อสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร เอไอก็เข้ามามีบทบาทเช่นกัน ปาล์มเมอร์ชี้ว่าในการพิจารณาคดีการดูแลบุตร มีความเป็นไปได้มากที่ผู้พิพากษาจะตั้งคำถามถึงการใช้เวลากับบุตร หากพ่อหรือแม่กำลังมีการสนทนาที่ใกล้ชิดกับแชตบอต

การรับมือกับปรากฏการณ์นี้ในทางกฎหมายจึงมีความหลากหลายอย่างยิ่ง รัฐที่ก้าวหน้าอย่างแคลิฟอร์เนียกำลังพยายามออกกฎหมายที่กำหนดให้เอไอเป็น “บุคคลที่สาม แต่ไม่ใช่บุคคล” (third party, not a person) เพื่อรับรู้ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์

ขณะที่ รัฐโอไฮโอกำลังพยายามแบนการพิจารณาทางกฎหมายใด ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างมนุษย์กับเอไอ โดยย้ำว่าเอไอเป็น “นิติบุคคลที่ไม่มีความรู้สึก” (nonsentient entities) 

ท่ามกลางความแตกต่างทางกฎหมายเหล่านี้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลทางสถิติที่บ่งชี้ว่าการใช้คุยกับแชตบอตในเชิงโรแมนติกหรือสร้างความผูกพันทางอารมณ์ เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการหย่าร้างเพิ่มมากขึ้น

แม้ว่าเอไอจะถูกมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คู่รักเลิกรากัน แต่ก็มีรายงานว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยรักษาชีวิตสมรสได้เช่นกัน คู่รักบางคู่ใช้ ChatGPT เป็นที่ปรึกษาคู่รัก และพบว่ามันให้คำแนะนำที่เป็นกลางและสร้างสรรค์ พร้อมวิเคราะห์รูปแบบการสื่อสารได้อย่างถูกต้อง บางคนพบว่าการปรึกษา ChatGPT ช่วยบรรเทาข้อความที่อาจส่งถึงคู่สมรสด้วยความโกรธเกรี้ยว ทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไขในลักษณะที่สำเร็จมากกว่า ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่หยางยังคงคาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างจะมีการฟ้องหย่าจากเอไอเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เหมือนกับช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 

ด้วยการพัฒนาเอไออย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จึงทำให้เอไอจะกลายเป็นคนรักที่สมจริงมากขึ้น มีความเห็นอกเห็นใจ และเข้าอกเข้าใจ การปรับตัวทางสังคมและกฎหมายต่อปรากฏการณ์นี้จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อนาคตของความสัมพันธ์จึงขึ้นอยู่กับว่าคู่สมรสจะสามารถรับรู้ถึงข้อจำกัดของเอไอและหลีกเลี่ยงไม่ให้มันเข้ามาแทนที่ความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้อย่างไร

การเข้ามาของเอไอสามารถก่อให้เกิดปัญหาในชีวิตคู่ได้ โดยเฉพาะชีวิตคู่ที่ไม่มีความสุขและโดดเดี่ยว การได้พบกับที่พักพิงในโลกเสมือนจริงจากเอไอ จึงช่วยบรรเทาทุกข์ สร้างความสุขที่คนรักไม่เคยมอบให้ ขณะเดียวกันสิ่งนี้ได้สร้างแรงกดดันใหม่ให้กับชีวิตรัก ท้ายที่สุดแล้ว สังคมและกฎหมายกำลังถูกบังคับให้พิจารณาคำถามพื้นฐานใหม่ว่า ความผูกพันทางอารมณ์กับสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต สามารถมีน้ำหนักทางกฎหมายเทียบเท่ากับการทรยศกับคู่รักที่เป็นมนุษย์ได้หรือไม่



ที่มา: FuturismNSS MagThe WeekWired