เส้นตาย 60 วัน ชี้ชะตา 2 กฎหมาย 'อากาศสะอาด–ลดโลกร้อน' ไปต่อหรือนับหนึ่งใหม่

เส้นตาย 60 วัน ชี้ชะตา 2 กฎหมาย 'อากาศสะอาด–ลดโลกร้อน' ไปต่อหรือนับหนึ่งใหม่

รัฐบาลชุดใหม่มีเวลา 60 วันในการตัดสินใจว่าจะนำร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด และ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน มาพิจารณาต่อหรือไม่ หากไม่ทันตามกำหนดเวลา กระบวนการจะต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด

KEY

POINTS

  • รัฐบาลชุดใหม่มีเวลา 60 วัน ตัดสินใจจะนำร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด และ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน มาพิจารณาต่อหรือไม่ หากไม่ทันตามกำหนดเวลา กระบวนการจะต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด
  • กฎหมายใหม่มีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหามลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสร้างเครื่องมือรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมาตรการการค้าโลก

ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่อำนาจของรัฐบาลชุดใหม่ “2 กฎหมายชี้ชะตาอากาศและภูมิอากาศของประเทศ” กำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลาวิกฤติ ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด และ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน มีเส้นตายเพียง 60 วัน ที่จะตัดสินว่าไทยจะมีเครื่องมือทางกฎหมายที่ปกป้องชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง หรือปล่อยให้กฎหมายถูกลดทอนจนกลายเป็นเสือกระดาษ ภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มทุน ข้ออ้างเรื่องต้นทุนทางเศรษฐกิจ และการผลักภาระวิกฤติไปให้ประชาชนผู้ต้องสูดอากาศพิษและแบกรับผลกระทบจากโลกร้อนมากที่สุด

“รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช” อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ กล่าวว่า ขณะนี้การพิจารณาในวาระที่ 3 ของวุฒิสภาต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวตามกลไกทางกฎหมาย ซึ่งความหวังในการไปต่อขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เป็นสำคัญ

กฎหมายเปิดช่องให้ ครม. ชุดใหม่สามารถหยิบยกประเด็นร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีครบถ้วนและประกาศในราชกิจจานุเบกษา หากรัฐบาลให้ความสำคัญ กระบวนการจะสามารถต่อยอดจากวาระที่ 1 และ 2 เพื่อเข้าสู่วาระที่ 3 ของวุฒิสภาได้ทันที ซึ่งจะทำให้กฎหมายผ่านออกมาบังคับใช้ได้เร็วขึ้น แต่หากพ้นกำหนด 60 วันไปแล้วโดยไม่มีการดำเนินการ ทุกอย่างจะต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ ตั้งแต่การล่ารายชื่อภาคประชาชนและการเสนอโดยพรรคการเมืองต่างๆ

เขี้ยวเล็บกุด อิทธิพลกลุ่มทุน

สาเหตุที่กฎหมายฉบับนี้ดำเนินไปอย่างล่าช้านั้น “รศ.ดร.วิษณุ” ชี้ให้เห็นว่ามี 2 ประเด็นหลัก คือในวาระที่ 2 ของสภาผู้แทนราษฎรต้องใช้เวลามากในการรวมร่างกฎหมายที่มีมากถึง 7 ร่าง ทั้งจากพรรคการเมือง รัฐบาล และภาคประชาชนเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้กฎหมายที่ดีที่สุด 

ต่อมาในวาระที่ 3 ของวุฒิสภา กระบวนการก็ล่าช้าออกไปเนื่องจากติดช่วงปิดสมัยประชุม และการพิจารณาที่ไม่ได้เป็นไปอย่างเร่งด่วน โดยมีการใช้เวลาเตรียมการและประชุมเพียงสัปดาห์ละครั้ง จนกระทั่งเกิดการยุบสภาเสียก่อน

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าความล่าช้า คือการที่ร่างกฎหมายอาจถูก “ถอดเขี้ยวเล็บ” จนกลายเป็นเพียงเศษกระดาษ โดยก่อนหน้านี้มีแรงต้านจากภาคธุรกิจผ่านทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และกรรมาธิการซีกวุฒิสภา ที่พยายามตัดเครื่องมือสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ออก เช่น

  • หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย: มีความพยายามขอให้ลดภาษี ยกเว้นค่าธรรมเนียม หรือมองว่าเป็นการเก็บที่ซ้ำซ้อน เพื่อให้ผู้ปล่อยมลพิษจ่ายน้อยที่สุด
  • การตัดกองทุนอากาศสะอาด: มีความพยายามให้ตัดส่วนนี้ออก ซึ่งจะทำให้กลไกการเงินที่จะนำไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องการปรับตัวทำได้ยากขึ้น
  • การตัดระบบฝากไว้ได้คืน: แม้ฝ่ายวิชาการจะค้านว่าควรมีเครื่องมือที่หลากหลาย แต่ทาง สว. ยังยืนยันให้ตัดออก

65 ล้านชีวิตสูดอากาศสกปรก

“รศ.ดร.วิษณุ” สะท้อนว่าในการโหวตแต่ละครั้ง ภาคประชาชนมักพ่ายแพ้เนื่องจากมีเพียง 9 เสียง จาก 27 เสียงในกรรมาธิการ พร้อมตั้งคำถามถึงผู้มีอำนาจว่าควรให้ความสำคัญกับ 65 ล้านชีวิตที่ต้องสูดอากาศสกปรก มากกว่าความกังวลต่อผลกระทบทางธุรกิจของกลุ่มทุนเพียงบางกลุ่ม

ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพา พ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 แต่กลับไม่สามารถแก้ปัญหามลพิษได้จริง เนื่องจากขาดความยืดหยุ่นและขาดเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ อีกทั้งกรมควบคุมมลพิษยังมีอำนาจจำกัด ไม่สามารถสั่งการข้ามกระทรวงได้ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือกระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้ดูเหมือนเป็น “เสือกระดาษ” เมื่อเทียบกับหน่วยงานอย่าง EPA ในต่างประเทศที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ

นอกจากนี้ กลไกการเงินในปัจจุบันยังถือว่า “ไม่ยุติธรรม” เพราะงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อมมาจากภาษีของประชาชนทุกคน เท่ากับว่าคนที่ไม่ใช่ผู้ก่อมลพิษ ต้องจ่ายเงินไปช่วยผู้ก่อมลพิษให้ลดมลพิษลง ซึ่งขัดกับหลักสากลที่ควรเก็บเงินจากผู้ก่อมลพิษมาบริหารจัดการ

เข็มทิศใหม่" พาไทยสู่ Net Zero

“ธารา บัวคำศรี” ผู้อำนวยการโครงการ Climate Connectors กล่าวว่า ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเปรียบเสมือนโอกาสทอง ที่ภาคส่วนต่างๆ จะต้องรวมพลังกดดันให้มีการแก้ไขร่างกฎหมายให้ครอบคลุมทุกมิติ กฎหมายโลกร้อนที่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ภาษี” และ “การค้า” แต่ต้องเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิ ดูแลการปรับตัว และสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกคน

“สังคมกำลังจับตาดูว่ารัฐบาลใหม่จะมีความกล้าหาญพอที่จะปรับปรุงร่างกฎหมายฉบับนี้ให้กลายเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์" หรือจะปล่อยให้ผ่านไปในรูปแบบเดิมที่เป็นเพียงการตอบสนองต่อภาคธุรกิจและการเมืองโลก โดยทิ้งมิติความเดือดร้อนของประชาชนตัวเล็กตัวน้อยไว้เบื้องหลัง”

สาระสำคัญของ พ.ร.บ.โลกร้อน คือการสร้างกรอบทางกฎหมายที่เข้มข้นเพื่อบีบให้ภาคอุตสาหกรรมและพลังงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภาษีคาร์บอน ที่จะจัดเก็บตามปริมาณก๊าซที่ปล่อยออกมาจริง หรือ ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme - ETS) ซึ่งเป็นกลไกภาคบังคับสำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

มาตรการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นเกราะป้องกันทางเศรษฐกิจต่อแรงกดดันจากเวทีการค้าโลก เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป หากประเทศไทยไม่มีกฎหมายราคาคาร์บอนของตัวเอง ธุรกิจส่งออกไทยอาจต้องจ่ายภาษีส่วนนี้ให้กับต่างประเทศแทนที่จะเป็นรายได้เข้าสู่รัฐไทยเพื่อการพัฒนาประเทศ

จุดอ่อน “ปรับตัว” ท่ามกลางวิกฤติ

อย่างไรก็ตาม “ธารา” ตั้งข้อสังเกตว่า ร่างกฎหมายนี้มีจุดอ่อนที่อันตรายยิ่ง นั่นคือการขาดมิติ การปรับตัวต่อผลกระทบ (Adaptation) และการจัดการกับความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage)ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในลำดับต้นๆ ของโลกที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้เราจะหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ในวันนี้ 

แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น และการกัดเซาะชายฝั่ง ยังคงอยู่และทวีความรุนแรงขึ้น ร่างกฎหมายฉบับนี้กลับไม่มีการระบุกลไกชดเชยเยียวยาเกษตรกรหรือชุมชนเปราะบางที่ต้องสูญเสียที่ดินทำกินหรือทรัพย์สินจากภัยพิบัติเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นช่องว่างเชิงยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน

สิทธิของใครในตลาดคาร์บอน

ประเด็นที่แหลมคมที่สุดคือเรื่อง “ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ” (Climate Justice) ร่างกฎหมายมุ่งเน้นการส่งเสริมตลาดคาร์บอนและการปลูกป่าเพื่อแลกคาร์บอนเครดิต ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลอย่างกว้างขวางว่าจะส่งผลกระทบต่อ “สิทธิชุมชน” ที่อาศัยอยู่กับป่าหรือไม่ มีการตั้งคำถามว่า กฎหมายกำลังเปิดทางให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ใช้พื้นที่ป่าชุมชนเพื่อฟอกเขียวให้กับการปล่อยก๊าซของตนเอง โดยที่คนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้ดูแลป่ากลับเข้าไม่ถึงผลประโยชน์ หรือร้ายกว่านั้นคืออาจถูกจำกัดสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

นอกจากนี้ มาตรการอย่างภาษีคาร์บอน แม้จะมีเจตนาดี แต่อาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้น หากรัฐบาลไม่มีกลไกคุ้มครองกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ภาระของภาวะโลกร้อนอาจจะถูกผลักไปที่ไหล่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างมลพิษน้อยที่สุด แต่กลับต้องแบกรับต้นทุนการเปลี่ยนผ่านที่สูงที่สุด