ขีดเส้นทางแห่งความสุข

ถึงเวลาที่ ดิศนิติ โตวิวัฒน์ กับคุณพ่อต้องหันหน้าเข้าหากันมากขึ้น เพื่อเรียนรู้ความสำเร็จจากการรับไม้ต่อธุรกิจครอบครัว "ธรรมสรณ์กรุ๊ป"
กำลังเข้าสู่วัยเบญจเพส ซึ่งว่ากันว่าเป็นช่วงวัยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว มีความมั่นคงทั้งทางจิตใจและทางกายภาพ ขณะที่คนส่วนใหญ่เริ่มที่จะวางแผนว่าในอนาคตจะดำเนินชีวิตอย่างไร มีเป้าหมายในชีวิตอะไรบ้าง แต่สำหรับ "ดิศนิติ โตวิวัฒน์" มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้วกับเส้นทางชีวิตในฐานะทายาทคนโตของ ธิติ โตวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัทธรรมสรณ์ ซึ่ง ดำเนินธุรกิจด้านการบำบัดรักษาน้ำเสียรวมถึงธุรกิจทางด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ดิศนิติ หรือ ปั๊ม สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีโอกาสไปฝึกงานอยู่ที่โตโยต้ามอเตอร์ไทยแลนด์ ดูแลบริการหลังการขาย จากนั้นบินไปศึกษาต่อสาขาบริหารระหว่างประเทศที่ประเทศจีน
เขาให้เหตุผลหลักที่เลือกไปเรียนนครเซี่ยงไฮ้ เพราะเป็นศูนย์กลางความเจริญในด้านต่างๆ หลากหลายด้วยคนเชื้อชาติต่างๆ แทบทุกประเทศทั่วโลก ทำให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลายรวมทั้งภาษาจีน ระหว่างที่เรียนก็ได้ไปฝึกงานที่ อเมริกา จากนั้นกลับมารับบททดสอบความเป็นนักธุรกิจ โดยคุณพ่อมอบหมายให้ไปฟื้นฟูบริษัทเครื่องประดับเงินจากซิลเวอร์เคลย์ (ผงโลหะที่มีลักษณะคล้ายดิน) ภายใต้แบรนด์ Shannta
๐บททดสอบพิสูจน์ฝีมือทายาทธุรกิจ
Shannta ถือเป็นบททดสอบความสามารถของลูกชายที่ “ธิติ” ตั้งใจให้ได้พิสูจน์ว่า จะสามารถรับช่วงถนนสายการเป็นเจ้าของธุรกิจต่อจากตนเองได้ดีแค่ไหน และเขาจะสร้างแบรนด์เครื่องประดับเงิน Shannta เติบโตได้มากน้อยแค่ไหน หรือว่าจะโบกมือลากับกิจการครอบครัวที่พ่อสร้างมากับมือ
ดิศนิติ เล่าว่า ฌานตา บริษัทเครื่องประดับเงินทำจากซิลเวอร์เคลย์ที่คุณพ่อสร้างมาก่อนที่เขาจะกลับมาไทย เพราะเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ แต่นำเอาระบบการบริหารจัดการแบบอุตสาหกรรมเข้ามาใช้กับธุรกิจด้านศิลปะการออกแบบ ที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างจากวิศวกรที่อยู่ในโรงงาน จึงไม่ประสบความสำเร็จ
เขามีหน้าที่เข้ามา"ผ่าตัด" องค์กรใหม่ ตั้งเป้าหมายมีกำไรเติบโตต่อเนื่องปีละไม่ต่ำกว่า 15% เพื่อความแข็งแกร่งระยะยาว ชายหนุ่มใช้ระยะเวลา 1 ปีกว่าในการเรียนรู้และความระบบการบริหารจัดการ กระทั่งประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย พร้อมส่งต่อธุรกิจนี้ให้กับน้องสาวดูแลต่อ เพื่อก้าวไปเรียนรู้งานในธรรมสรณ์กรุ๊ป
แนวทางการปลูกฝังให้ลูกชายมีความรู้ด้านการทำธุรกิจของครอบครัว ถูกสอดแทรกไปในทุกมิติ ตั้งแต่เล็ก "ดิศนิติ" ถูกพาไปวิ่งเล่นในโรงงาน ได้เห็นเครื่องจักร เห็นวิศวกรทำให้เกิดความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และเครื่องจักรกลมาโดยไม่รู้ตัว และทุกครั้งที่มีโอกาส เขาจะได้เดินทางไปพร้อมคุณพ่อเสมอไม่ว่าไปงานแฟร์ งานเจรจาต่อรองกับคู่ค้า หรือไปเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อซึมซับการทำธุรกิจทีละเล็กทีละน้อย
เขาเรียนรู้ทุกอย่างทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยซึมซับทีละเล็กละน้อย โดยไม่รู้สึกว่าถูกกดดัน
๐เส้นทางความสุขที่เลือกแล้ว
จุดเปลี่ยนในชีวิตที่สำคัญในมุมมองของดิศนิติ คือ ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ปีแรกหนุ่มน้อยหมกหมุ่นตัวอยู่แต่ในห้องสมุดอ่านหนังสืออย่างเคร่งเครียดจนไม่สบาย และเริ่มรู้สึกว่า ชีวิตแบบนี้ "ไม่ใช่" สิ่งที่เขาอยากเป็น โชคดีที่ได้พบกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้เป็นเด็กเนิร์ดอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน และไม่ได้เที่ยวเตร่อย่างเดียว แต่เป็นกลุ่มที่เรียนหนังสือแบบไม่เครียดและมีความสุขกับการเรียนในมุมมองของเขาถือเป็นการฝึกทักษะเอาตัวรอดอย่างหนึ่ง
"ผมเป็นเด็กเรียนตั้งแต่สมัยชั้นประถมถึงมัธยม ทุกๆ เช้าเพื่อนจะรอลอกการบ้าน (หัวเราะ) แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยชีวิตเปลี่ยน เราเริ่มรู้แล้วว่า ชีวิตจริงไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการ มันขึ้นอยู่ที่คุณเอาตัวรอดได้หรือป่าว พอถึงชีวิตการทำงานยิ่งพบว่า เกรดจะ 2.5 3.5 ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ตอนเรียนปริญญาตรีแค่เกรด C ก็แฮปปี้ หรือแค่ผ่านผมก็โอเค ผิดกับตอนเรียนมัธยมต้อง A เท่านั้น แต่พอปริญญาตรีไม่ใช่ โอกาสได้ A ยากมากต้องเก่งจริง
ทีนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเอาตัวรอดจากการเรียนที่เคร่งเครียดแบบนี้ได้อย่างไร ต่อให้ได้ A แต่ถ้าไม่มีความสุขก็ไม่มีประโยชน์ ผิดกับตอนเรียนมัธยมเวลาเรียนผมแทบไม่ต้องอ่านหนังสือเลยแค่ใช้วิธีตั้งใจเรียนในห้อง เราทำข้อสอบได้เอง"
ชายหนุ่ม บอกว่า ความยากในการเรียนวิศวกรรมศาสตร์อยู่ที่ต้องตั้งโจทย์และหาคำตอบเอง อาจารย์มีหน้าที่แนะนำให้ไปดูว่าต้องทำอย่างไรเท่านั้น ช่วงแรกเครียดมากจนกระทั่งคุณพ่อเตือนว่า อย่าเครียดเอาแค่ผ่าน ชีวิตต้องมีความสุข ชีวิตต้องบาลานซ์ให้เป็น หลังจากนั้นเขาก็ใช้วิธีอ่านหนังสือ 2 ใน 3 จากที่ต้องอ่านทั้งหมด เพื่อได้มีเวลาไปใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ได้ไปดูหนัง เล่นกีฬา ฟังเพลงได้
ผลจากการปรับตัวที่ยังไม่บาลานซ์ ทำให้บางครั้งสอบตก แต่คุณพ่อกลับบอกลูกชายว่า "ดีแล้ว จะได้รู้จักความล้มเหลวบ้าง" เพราะสิ่งที่ธิติเป็นห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ "ไม่ใช่" เรื่องเรียน แต่เป็น เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ซึ่งเป็นอบายมุขนำพาไปสู่ความเสื่อม ทางแห่งความพินาศ โชคดีที่ลูกชายมีภูมิคุ้มกันที่ดี ชีวิตจึงห่างไกลอบายมุข
สิ่งที่ได้จากการเรียนวิศวกรรมศาสตร์คือ กระบวนการความคิดที่เป็นตรรกะ ในยามที่ต้องเผชิญปัญหา ดิศนิติสามารถวิเคราะห์ถึงต้นต่อปัญหาและแก้ไขได้ทุกครั้งที่สำคัญ นำมาประยุกต์ ใช้กับงานบริหารจัดการได้โดยง่าย เช่น ยอดขายตกจะวิเคราะห์ว่าเป็นผลมาจากอะไร จะแก้ปัญหาตรงจุดไหนตามลำดับก่อนหลัง โดยไม่ต้องรอให้ใครมาบอก
๐สานฝันให้เป็นจริงในสิ่งที่ชอบ
นอกเหนือจากการทำงาน ความฝันของทายาทธรรมสรณ์คือ การทำโชว์รูมรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยูและวอลโว่ โดยมีที่ดินย่านเกษตรนวมินทร์ไว้รองรับการทำธุรกิจนี้ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สนองตอบความชื่นชอบรถยนต์ของเขา หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็อาจจะได้เป็นตัวแทนจำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูในเร็วๆ นี้
"ผมชอบขับรถคลายเครียดอยู่เป็นประจำในช่วงดึกๆ ขับรถกินลมชมวิวเปิดเพลงฟัง แต่ไม่ได้ขับเร็วแค่ 80 กิโลเมตรต่อชั่งโมงเท่านั้น แต่ถ้าจะให้ขับเร็วต้องอยู่ในสนามแข่ง เหตุผลคือ กลัวชน" (หัวเราะ)
ส่วนเรื่องหัวใจดิศนิติตอบแบบเขินๆ ว่า ยังไม่มี อาจเพราะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง อยู่กับตัวเองมากกว่าไปสังสรรค์ เวลาทำงานเสร็จก็อยากพัก ไม่ค่อยออกไปไหน เสาร์-อาทิตย์อยู่บ้าน ทำให้ยังไม่มีแฟน แต่ทุกคนในบ้านอยากให้คิดได้แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาวางแผนว่าจะแต่งงานช่วงอายุ 30 เนื่องจากอยากจะสอนลูกตั้งแต่ยังมีเรี่ยวแรงเหมือนที่คุณพ่อเคยสอน ส่วนสเปคสาวที่มาเป็นคู่ชีวิตอยากได้คนที่เข้าใจ ใจเย็น ไม่เจ้าอารมณ์ น่าจะเหมาะกับคนที่มีลอจิกสูงอย่างเขา







