สศช.ถอดบทเรียนแผ่นดินไหวญี่ปุ่น

สศช.ถอดบทเรียนแผ่นดินไหวญี่ปุ่น

สศช.ถอดบทเรียนแผ่นดินไหวญี่ปุ่น กับ 7 ข้อเสนอปรับแผนรับมือภัยพิบัติในไทย

จากกรณีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ อ.พาน จ.เชียงราย วัดความสั่นสะเทือนได้ถึง 6.3 ริกเตอร์ และเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายร้อยครั้งนั้น นอกจากจะเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนแล้ว ยังนำมาสู่คำถามที่ว่าประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหวมากน้อยเพียงใด

สำหรับประเทศที่มีประสบการณ์ในการรับมือกับภัยพิบัติแผ่นดินไหวมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อนของเปลือกโลกที่เรียกกันว่าแนววงแหวนแห่งไฟ (Pacific Ring of Fire) และการเกิดแผ่นดินไหวบริเวณรอยเลื่อนของโลกที่อยู่ใต้ทะเลมักทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิตามมา ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีประสบการณ์ในการรับมือกับภัยธรรมชาติที่เกิดจากแผ่นดินไหวมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก

ล่าสุดเมื่อปี 2554 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขนาด 9.0 ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่นอกชายฝั่งตะวันออกห่างจากคาบสมุทรโอชิกะ โทโฮะกุ ประมาณ 72 กิโลเมตร โดยมีจุดเกิดแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน 32 กิโลเมตร นับเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นและทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่พัดเข้าไปในแผ่นดินกว่า 14 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 28,148 คน มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจมากถึง 16-25 ล้านล้านเยน

น.ส.ณุชาดา เจริญพานิช นักวิเคราะห์นโยบายและแผนการชำนาญการ สำนักงานวางแผนการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า จากที่ได้ศึกษาดูงานการรับมือกับภัยพิบัติแผ่นดินไหวพบว่าญี่ปุ่นมีการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะแผ่นดินไหวเป็นอย่างดี โดยได้มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติฉบับแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 เรียกว่า Disaster Countermeasures Basic Act เพื่อวางยุทธศาสตร์การจัดการภัยพิบัติของประเทศอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ กฎหมายและแผนงานที่เกี่ยวข้องถือว่ามีความสำคัญมากในช่วงเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 7.3 ริกเตอร์ที่เมืองโกเบในปี 2538 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 6,434 คน เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 10 ล้านล้านเยน

นอกจากนั้น ญี่ปุ่นมีการจัดตั้ง “สภาจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ” (Central Disaster Management Council) ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีสมาชิกสภาฯประกอบไปด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบริหารจัดการภัยพิบัติ (Minister of State for Disaster Management) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ผู้เชี่ยวชาญและหัวหน้าองค์กรภาครัฐ ได้แก่ ผู้ว่าการธนาคารญี่ปุ่น สภากาชาดญี่ปุ่น และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นต้น

สำหรับหน้าที่ของสภาการจัดภัยพิบัติแห่งชาติ คือ กำหนดยุทธศาสตร์จัดทำแผนรองรับภัยพิบัติ ตลอดจนกำหนดระบบจัดการภัยพิบัติซึ่งมีขั้นตอนการจัดการกับภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นการเกิดแผ่นดินไหว สึนามิ น้ำท่วม การระเบิดของภูเขาไฟ หิมะถล่ม โดยมีหลักการจัดการพื้นฐานในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่สำคัญ ประกอบด้วย การป้องกันและการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ การตอบสนองอย่างทันท่วงทีที่เกิดเหตุ และการฟื้นฟูความเสียหายให้กลับคืนสภาพปกติโดยเร็ว นอกจากนั้นแผนการจัดการภัยพิบัติยังเชื่อมโยงกับการทำงานของท้องถิ่นต่างๆ ด้วย

ในส่วนของการเตรียมพร้อมเรื่องงบประมาณในการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศ ตัวเลขในปี 2553 ระบุว่ารัฐบาลญี่ปุ่นตั้งงบประมาณในการบริหารจัดการภัยพิบัติไว้จำนวน 1.2 ล้านล้านเยน แบ่งออกเป็น 4 ด้านที่สำคัญได้แก่

1.ด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 0.6%

2.ด้านการป้องกันและเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ 17.5%

3.ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ การปรับปรุงแม่น้ำลำคลอง การป้องกันการพังทลายของหน้าดิน การอนุรักษ์ป่าไม้ การอนุรักษ์ชายฝั่งทะเล 62.4%

4.ด้านการฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น 19.5%

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับการจัดสรรงบประมาณในอดีต พบว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีการเพิ่มงบประมาณด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก

น.ส.ณุชาดา กล่าวต่อว่า จากการศึกษากรณีเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น มีข้อเสนอแนะที่สำคัญที่ควรนำมาปรับใช้กับประเทศไทยเพื่อให้การรับมือกับภัยพิบัติแผ่นดินไหวมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

1.ในการบริการจัดการภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพ ก่อนการเกิดภัยพิบัติควรมีการฝึกซ้อมการใช้อุปกรณ์ในภาวะฉุกเฉิน การหนีภัย การปฏิบัติตัวที่ถูกวิธีเพื่อเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ, ในช่วงระหว่างการเกิดภัยพิบัติ ผู้ประสบภัยต้องสามารถช่วยเหลือตัวเองให้มีชีวิตอยู่รอดได้อย่างน้อย 72 ชั่วโมง ก่อนที่ความช่วยเหลือจากภายนอกจะเข้าไปถึง

รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือจากทางราชการและภาคเอกชนอย่างเป็นระบบในช่วงหลังจากเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว และสามารถตอบสนองต่อความต้องการ ตลอดจนความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยได้อย่างตรงจุด

2.การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรองรับเหตุฉุกเฉิน (Emergency Operation Center :ECO) อย่างถาวร เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรองรับเหตุฉุกเฉินอย่างถาวร

ในอดีตเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ดินโคนถล่ม ฝนแล้ง พายุถล่ม รัฐบาลไทยจะจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรองรับเหตุฉุกเฉินขึ้นมาเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้กำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆ ไป ดังนั้นศูนย์ฯดังกล่าวจึงไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ประเทศไทยควรมีระบบเตือนภัยพื้นฐานล่วงหน้าที่ทันต่อเหตุการณ์ เชื่อถือได้ และเข้าถึงประชาชนทุกคนในพื้นที่ ได้แก่ ระบบเตือนภัยล่วงหน้า SMS ผ่านระบบมือถือทุกเครือข่าย เป็นต้น

3.การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้การป้องกันภัยพิบัติ (Disaster Prevention Experience -leaning Facility) เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้ถึงขั้นตอนวิธีการจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถเอาชีวิตรอดได้เมื่อเกิดภัยพิบัติจริง ซึ่งเป็นการลดความสูญเสียชีวิต และยังเป็นการเพิ่มทักษะให้ประชาชนสามารถช่วยเหลือตัวเองก่อน แทนที่จะรอความช่วยเหลือจากภายนอกที่อาจล่าช้าและไม่ทันการณ์

4.การเปิดหลักสูตรสอนวิธีการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติในโรงเรียน ตั้งแต่ระดับประถมขึ้นไปในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเด็กซึ่งถือเป็นอนาคตของชาติได้รู้วิธีการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติและสามารถเอาชีวิตรอดได้ด้วยตัวเอง

5.สนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกอย่างจริงจังและต่อเนื่องในทุกระดับโดยเฉพาะในระดับชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนได้เรียนรู้การผลิตและการใช้พลังงานที่สามารถผลิตได้เองในพื้นที่ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกรณีเกิดการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งควรสนับสนุนให้มีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อส่งเสริมเยาวชนของชาติให้เรียนรู้การใช้พลังงานทางเลือกและผ่านการฝึกปฏิบัติในสถานที่จริง

6.ในกรณีที่สิ่งปลูกสร้างที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน หรือสะพาน ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติจนมีความเสียหายมากและไม่สามารถใช้สัญจรและขนส่งสิ่งของได้ ควรมีการนำแนวทางการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) มาประยุกต์ใช้เพื่อให้การก่อสร้างดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จากการนำระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเอกชนมาใช้ในการก่อสร้าง

โดยในญี่ปุ่นหลังจากเหตุการณ์สึนามิสามารถสร้างสะพานชั่วคราว Great Kansen Bridge ภายในเวลาเพียง 61 วัน เร็วกว่ากำหนด 2 เดือน จากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ทำให้การเข้าไปฟื้นฟูพื้นที่และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยทำได้ง่ายขึ้น

7.วางแผนการสร้างเมืองรูปแบบใหม่ (Future City) โดยเน้น 3 ส่วนคือ การเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เอื้ออำนวยต่อการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ

โดยในประเทศญี่ปุ่นมีการนำแนวคิดทั้ง 3 ข้อนี้ไปใช้ในการพัฒนาเมืองฮิงะชิมัตสึชิมะ และเมืองนะโตะริ โดยในการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองที่เตรียมพร้อมรับมือการเกิดภัยพิบัติ ได้แก่ การย้ายเมืองใหม่ขึ้นไปบนที่สูง การสนับสนุนให้แต่ละชุมชนพัฒนาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่รองรับการขาดแคลนพลังงานเนื่องจากเหตุการณ์ภัยพิบัติ ตลอดจนการผลิตอาหารสำรองในยามฉุกเฉิน ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเทคนิคการพัฒนาการผลิตอาหารให้มีคุณภาพ โภชนาการสูง และสามารถเก็บไว้ได้ในระยะเวลานาน ซึ่งอาหารประเภทนี้นอกจากสามารถเก็บไว้ใช้ในกรณีภัยพิบัติฉุกเฉิน ยังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่การส่งออกสินค้าได้อีกด้วย