‘กาฬโรคม้า’ มหันตภัยล้างคอก !

เมื่อม้าเลี้ยงต้องตายเกือบหมดคอก หรือนี่คือสัญญาณบอกว่า ‘กาฬโรคม้า’ ที่อิมพอร์ตมาจากแอฟริกาพร้อมกับม้าลาย จะกลายเป็นเพชฌฆาตล้างเผ่าพันธุ์ม้าไทย
ปริศนาการตายของม้าตัวที่หนึ่งมาจนถึงเกือบ 600 ตัว และตัวเลขยังมีแนวโน้มขยับขึ้นไปอีกเรื่อยๆ สู่การสืบหาคำตอบว่า ‘ใคร’ ฆ่าม้าไทยแบบล้างบาง ล่าสุด 19 จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดทำให้คนเลี้ยงม้าหามาตรการรับมือกันตามอัตภาพ แต่ตราบใดที่ยังกำจัดเชื้อให้ราบคาบไม่ได้ การแก้ปัญหาปลายเหตุอาจช่วยแค่ยื้อเวลาวันที่ม้าไทยสูญพันธุ์
- ม้าลาย ต้นสายปลายโรค
หลังจากคลุมเครือมาระยะหนึ่ง ความจริงก็เริ่มกระจ่างว่าสาเหตุการตายต่อเนื่องของม้าไทยเกิดจากการติดเชื้อ กาฬโรคม้า ซึ่ง รศ.ดร.เชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์ อดีตคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเป็นแกนนำเครือข่ายผู้เลี้ยงม้า เปิดเผยว่ามีข้อมูลทางวิชาการระบุว่าโรคนี้มาจากม้าลายแน่นอน ด้วยหลายปัจจัยประกอบกัน
การนำเข้าม้าลายซึ่งมีพื้นกำเนิดจากทวีปแอฟริกา เสมือนการนำเชื้อกาฬโรคม้าติดมาด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าม้าลายทุกตัวจะเป็นฆาตกร เพียงแต่ว่าประเทศไทยยังไร้ซึ่งมาตรการควบคุมโรคจากสัตว์นำเข้าชนิดนี้
“การที่เรามั่นใจว่าเป็นม้าลาย เพราะโรคนี้มาจากแอฟริกา และสัตว์ที่นำเข้าที่เป็นโรคนี้ได้ก็มีแค่ม้าลาย ม้าปกติ ลา ล่อ และอูฐ แต่ประเด็นคือไม่มีการนำเข้าม้าปกติกับลามาจากแอฟริกาอยู่แล้ว ส่วนล่อมีการนำเข้า แต่สัตว์พวกนี้นอกจากม้าลายล้วนมีอยู่ใน พรบ.โรคระบบสัตว์ เพราะฉะนั้นสัตว์พวกนี้ต้องกักกันก่อนที่จะเข้าประเทศ และหลังจากเข้ามาแล้วก็กักกันอีก
แต่ม้าลายเป็นช่องโหว่ของกฎหมายคือไม่ต้องกักกัน เพราะไม่ถูกระบุอยู่ใน พรบ.โรคระบาดสัตว์ แล้วม้าลายมีอยู่ 9 ชนิด แต่ที่เอาเข้ามาประเทศไทยมี 2 ชนิด ซึ่งมันไม่อยู่ในไซเตรส เป็นช่องโหว่ใหญ่มากเลย”
นอกจากนี้ตัวเลขอัตราการตายของม้าทั่วไปหากเป็นโรคนี้ที่มากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าขณะที่กักโรคม้าปกติจะตายแน่นอน แทบไม่เหลือให้เกิดการระบาด รวมไปถึงลากับล่อด้วยที่มีอัตราการตายถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยกฎหมายบังคับให้กักกันและตรวจโรคจึงไม่เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยเท่ากับม้าลาย ซึ่งเป็น ‘ตัวอมโรค’ คือเป็นสัตว์ป่าที่รับเชื้อมาแล้วไม่ป่วย เชื้อจะอยู่ในตัวม้าลาย 40 วัน แล้วร่างกายจะกำจัดเชื้อและสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ระหว่าง 40 ที่ยังมีเชื้อแล้วบังเอิญมีแมลงมากัดก็จะเป็นการแพร่เชื้อ
“โรคนี้ไม่เคยออกจากแอฟริกามา 30 ปีแล้ว มาครั้งนี้คือออกนอกแอฟริกาครั้งแรกในรอบ 30 ปี บ้านเราไม่เคยมีมาก่อน ช่วงแรกๆ หมอก็ยังงงเลยว่าคือโรคอะไร เพราะม้าตายเร็วมาก มันไม่กินอาหารตอนกลางวัน ตกเย็นตายเลย ประมาณ 3-4 ชั่วโมงตายเลย แต่โรคมันฟักตัวมาก่อนหน้านั้นแล้ว พอมีอาการปุ๊บเราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เราขุดหลุมฝังอย่างเดียว"
อิสรภาพทางการแพร่เชื้อของม้าลาย นั้นได้ถูกปิดประตูลงเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมาเพราะแรงกดดันจากเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนจนเกิดกฎกระทรวงให้ม้าลายเข้าสู่ พรบ.โรคระบาดสัตว์เป็นที่เรียบร้อย ทว่าก่อนหน้านั้น เชื้อกาฬโรคจากม้าลายได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศแล้วเช่นกัน
“ตอนนี้ม้าลายที่เข้ามาก่อนหน้า พรบ.โรคระบาดสัตว์ ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีการควบคุมดูแล คนเลี้ยงม้าปกติก็ต้องพยายามหาวิธีจำกัดวงการระบาดอยู่แค่ม้าเลี้ยง ทั้งฉีดวัคซีน ทั้งกางมุ้งให้ม้า เพราะโรคนี้มีแมลงดูดเลือดเป็นพาหะจากม้าลายสู่ม้าเลี้ยง วันนี้เขาชะลอการนำเข้าม้าลาย แต่เรากังวลว่าถ้าวันหนึ่งมีเรื่องผลประโยชน์เขาจะปล่อยให้นำเข้ามาอีกหรือเปล่า
อีกอย่างที่เราไม่สบายใจคือ ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับม้าลายถูกเก็บเงียบ ไม่มีใครดำเนินการอะไรเลย นี่คือสิ่งที่สังคมและคนเลี้ยงม้าตั้งคำถามว่าเมื่อไรจะเริ่มจัดการสักทีหนึ่ง ทำไมไม่เอาม้าลายเข้าไปอยู่ในมุ้ง เพื่อกักกันไม่ให้โรคระบาดต่อไป”
- ม้าตาย สะเทือนถึงดวงดาว
ม้าเลี้ยงที่เห็นกันบ้านเรามีอยู่หลายสายพันธุ์ ทั้งไทยแท้และลูกผสม ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติและเอกลักษณ์แตกต่างกัน แกนนำเครือข่ายผู้เลี้ยงม้าอธิบายว่าความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของม้าไทยกับม้าต่างประเทศคือความสูง ม้าไทยที่สูงสุดๆ ก็ประมาณ 145 เซนติเมตรเท่านั้น ขณะที่ม้าสำหรับแข่งขันกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางจะสูง 160 เซนติเมตรขึ้นไป
นำมาสู่ข้อสังเกตว่าทั้งที่ม้าสายพันธุ์ต่างประเทศก็นำเข้ามาเช่นกัน แต่กลับไม่พบว่าเป็นต้นตอการแพร่ระบาดโรค นั่นเพราะม้าถูกบรรจุอยู่ใน พรบ.โรคระบาดสัตว์ ตั้งแต่แรก จึงต้องกักกันโรคที่ต้นทาง 30 วัน พอมาถึงไทยต้องกักอีก 30 วัน ต่อด้วยตรวจเลือดอีกครั้ง เป็นการตรวจอย่างละเอียด
“ส่วนมากที่ม้าที่เป็นโรคตามปกติคือหวัดม้า แต่บ้านเราเข้มงวดมาก เป็นหวัดม้าก็นำเข้ามาไม่ได้ โรคที่แรงๆ ก็มีโลหิตจาง โรคพยาธิ ซึ่งมีอยู่ในท้องถิ่นบ้านเรา แต่มาตรการที่มีมาตลอดคือถ้าเกิดโรคขึ้นต้องฆ่าม้าเลยเพื่อป้องกันการระบาด ซึ่งเกิดขึ้นแค่ 5 ตัว 10 ตัว ก็กำจัดเพื่อจำกัดวงแล้ว แต่ในวันนี้เรากำจัดต้นตอไม่ได้ เราทำอะไรกันอยู่
พอเกิดแบบนี้ในแง่เศรษฐกิจ หลายคนหมดเนื้อหมดตัวเลยนะ สำหรับคนที่รักม้าแทบไม่ต้องพูดถึง ม้านำเข้าราคาหลักล้านหลักสิบล้านนะ”
รศ.นพ.นพดล สโรบล เจ้าของฟาร์มหมอปอ บอกว่าตนก็ได้รับความเสียหายจากการระบาดเหมือนกัน ม้าตายไป 18 ตัว หากคิดเป็นมูลค่าราว 15 ล้านบาท ซึ่งเขาบอกว่ายิ่งไปกว่านั้นคือสภาพจิตใจ
“ม้าที่เราเห็นมันเกิดมา ม้าที่เราซื้อมาจากเมืองนอก เรารักมัน แล้วมันต้องมาตาย แต่ไม่มีใครสนใจปัญหานี้ ไม่พยายามหาต้นตอหรือคนที่รับผิดชอบ มันต้องมีคนผิดนะ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะเกิดขึ้นมาเอง
ผมจำได้ดี วันที่ 24 มีนาคม ตัวแรกเริ่มตายก่อน ผมก็โทรหาสัตวแพทย์ เขาบอกให้ฝังกลบเลย เขาบอกตอนนี้ม้าตายเป็นเบือเลยในปากช่อง ผมก็ตกใจเลยรีบฝังกลบ หลังจากนั้น 9 วัน ม้าตาย 18 ตัว ซึ่งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม สัตวแพทย์และกรมปศุสัตว์ก็ประกาศการระบาดของกาฬโรคม้า แต่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าเกิดโรคนี้ เอาเป็นว่าไม่มีใครคิดถึง ก็มันไม่มีในประเทศไทยมาก่อน”
นอกจากนี้ รศ.ดร.เชษฐพงษ์ บอกว่า “แต่ความสูญเสียที่สำคัญที่สุดคือการที่เราไม่สามารถนำม้าออกนอกประเทศได้ ค้าขายไม่ได้ แข่งไม่ได้ กีฬาแข่งม้าแข่งไม่ได้แล้ว โอลิมปิก ซีเกมส์ หมดสิทธิ์เลย”
โอกาสที่พังทลายไปนั้นดูจะบานปลายกว่าที่คิด เพราะกฎขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ ระบุว่า การจะเริ่มนำม้าออกไปต่างประเทศได้อีกครั้ง ต้องนับจากวันที่ม้าไม่มีตายเพราะโรคนี้ไป 90 วัน แล้วบวกไปอีก 2 ปี เท่ากับว่านับตั้งแต่ม้าตัวสุดท้ายตายไป 2 ปี 3 เดือน ประเทศไทยถึงจะมีสิทธิ์ส่งม้าไปแข่งรายการสากลได้ เป็นความเสียหายระดับชาติที่หลายคนไม่คาดฝัน
- ควบปัญหาเข้าวิน
อย่างที่ รศ.ดร.เชษฐพงษ์ บอกไปแล้วว่าวิธีแก้ปัญหาของคนเลี้ยงม้าในไทยหลังจากเกิดการระบาดกาฬโรคม้า ส่วนมากจัดการที่ปลายเหตุ คือ กางมุ้งกันแมลงดูดเลือดเข้ามากัดม้าของตน ทว่าข้อจำกัดของการทำมุ้งม้าก็มี เช่น ต้นทุนค่อนข้างแพง ซึ่งสัมพันธ์กับความเชื่อของคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าคนเลี้ยงม้าทุกคนคือคนรวย แต่อันที่จริงคนเลี้ยงม้าในประเทศไทยส่วนหนึ่งราว 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ร่ำรวย แต่เลี้ยงม้าเพื่อการใช้งาน จึงไม่มีเงินมากพอที่จะทำมุ้งให้ม้า แน่นอนว่าปัจจุบันยังมีม้าอีกมากมายยังไม่ได้อยู่ในมุ้ง
นอกจากนี้ ถึงม้าจะเข้ามุ้งแล้วก็ไม่ใช่บทสรุปของปัญหา เพราะการที่ม้าต้องอยู่ในมุ้งนานๆ ความร้อนและความเครียดจากการเบียดเสียดกันทำให้ม้าเกิดอาการฮีทสโตรกจนม้าตายได้ ซึ่งมีกรณีทำนองนี้มาแล้วหลายตัว
อีกวิธีคือการฉีดวัคซีนให้ม้า แต่ที่ผ่านมาการจัดหาวัคซีนจากต่างประเทศยังติดขัด
“กว่าจะเอาวัคซีนเข้ามาได้ เครือข่ายต้องไปขอร้องเศรษฐีของประเทศเพื่อบริจาควัคซีน เพราะถ้ามัวรอกระบวนการของหน่วยงานรัฐ ม้าตายหมดครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีนหรือเอาม้าเข้ามุ้ง ถือเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ถ้าจะแก้จริงๆ คือต้องกำจัดแมลง และกำจัดต้นตอของโรคให้หมด”
แต่ถึงอย่างไรจำนวนวัคซีนที่นำเข้ามาฉีดให้ม้าก็ยังไม่เพียงพอ ตามสถิติม้าเลี้ยงในประเทศไทยมีประมาณ 20,000 กว่าตัว ทว่าในช่วงแรกของการระบาด วัคซีนนำเข้ามาได้แค่ 4,000 โด๊ส หากสถานการณ์เลวร้ายสุดคือม้าที่ไม่มีวัคซีนตายหมด จะเหลือม้าไทยทั้งแท้และพันธุ์ผสมเพียง 4,000 ตัว แต่ปัจจุบันนำเข้าวัคซีนมาได้แล้ว 8,000 โด๊ส ม้าไทยจึงยังมีพอมีหวังเกือบครึ่งหนึ่ง
“เราพยายามไม่ใช้วัคซีนไปมากกว่านี้ เราต้องกำจัดที่ต้นตอและป้องกัน เพราะการใช้วัคซีนเป็นดาบสองคม ถ้าจัดการไม่ดี ตอนฉีดวัคซีนไปช่วงแรกๆ ซึ่งเป็นวัคซีนเชื้อเป็น ภายในอาทิตย์แรกของการฉีดม้าจะต้องอยู่ในมุ้ง เพราะถ้าออกมาม้าตัวนั้นมีโอกาสเป็นพาหะได้ วัคซีนจึงถูกใช้ในพื้นที่เกิดโรคระบาดเท่านั้น”
ปัจจุบัน รศ.นพ.นพดล บอกว่าควบคุมการระบาดได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ยังมีการระบาดบ้างประปรายในบางพื้นที่ แต่ยังไว้วางใจไม่ได้เพราะอาจมีระลอกสองมาเมื่อไรก็ได้ ตราบใดที่ต้นเหตุปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข







