'นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์' โควิดไม่อาจกั้น พลังรักของพ่อ

'นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์' โควิดไม่อาจกั้น พลังรักของพ่อ

กลั่นหัวใจ 'คุณหมอนักอนุรักษ์' เมื่อ 'โควิด-19' ทำให้ลูกสาวต้องเผชิญกับมาตรการ 'ล็อกดาวน์' ในนิวซีแลนด์เพียงลำพัง เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อพาลูกกลับบ้าน

หลังจากตัดสินใจให้ลูกสาวเดินทางไปเรียนซัมเมอร์ที่นิวซีแลนด์ ทั้งที่แทบจะไม่เคยห่างไกลกันเกินสัปดาห์ ด้วยความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะไม่รุนแรงถึงขั้นนี้

แต่ทันทีที่แก้วตาดวงใจของ ‘หมอหม่อง’ นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ คุณหมอนักอนุรักษ์ ได้ไปถึงประเทศปลายทาง วิกฤตการณ์กลับเลวร้ายจนทำให้นิวซีแลนด์สั่งล็อคดาวน์ขั้นเด็ดขาด ออกกฎห้ามผู้คนออกจากเคหะสถาน เรียนก็ไม่ได้ ต้องอยู่แต่ในบ้านพักของคนแปลกหน้านานเกือบสองเดือน ที่สำคัญคือจะกลับสู่อ้อมอกพ่อที่เมืองไทยก็ทำไม่ได้

หมอหม่องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ตลอดเวลาที่ต้องห่างกัน พร้อมกับพยายามหาทางพาลูกสาวกลับบ้าน จนถึงวันนี้ที่พ่อลูกได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เขาได้เขียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดเกือบสองเดือนบนหน้าเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า...

“ตลอดเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมา ผมมีหัวใจที่หนักอึ้ง แต่ผมไม่ค่อยเล่าให้ใครๆ ฟัง

น้ำดอกไม้ลูกสาวอายุ 12 ขวบของผมเดินทางไปเรียนซัมเมอร์ที่นิวซีแลนด์ ตอนนั้นจริงๆ ก็เริ่มมีการระบาด COVID-19 ในจีนและบางประเทศแล้วแต่ยังไม่รุนแรง และการดำเนินไปของโลก ยังเป็นปกติอยู่ นิวซีแลนด์ดูยังเป็นประเทศที่ปลอดภัย ผมจึงตัดสินใจให้ลูกเดินทางตามแผนเดิมที่วางไว้

แต่เมื่อลูกสาวเดินทางถึงนิวซีแลนด์ วันรุ่งขึ้นก็มีประกาศปิดประเทศ ห้ามคนต่างชาติเข้าและประกาศให้มีการกักตัวผู้เดินทางทั้งประเทศทุกคนเป็นเวลาสองสัปดาห์ จากนั้นการบินไทยก็ลดเที่ยวบินลงและอีกสองวันการบินไทยก็ประกาศหยุดบิน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน ผมไม่สามารถพาลูกกลับบ้านได้ทัน แต่ก็ทำใจคิดให้เค้าอยู่เรียนต่อจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

แต่แล้วสถานการณ์การระบาดทั่วโลกกลับเลวร้ายเรื่อยๆ นิวซีแลนด์ประกาศ lockdown level 4 ห้ามคนออกจากบ้านโดยเด็ดขาด โรงเรียนปิด ผมโทษตนเองที่ไม่ฟังเสียงทัดทานจากเพื่อนไม่ให้ลูกเดินทางแต่แรก และเสียใจที่ตนเป็นหมอแท้ๆ แต่กลับมองไม่เห็น สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้เลย มันเกินการคาดการณ์ของผมไปมาก ว่าโลกจะหยุด ถึงเพียงนี้

ผมกลุ้มใจดิ้นรนหาทางให้ลูกกลับบ้านแต่ทุกหนทางดูมืดมน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ต่อมาหลายสัปดาห์ ลูกเริ่มมีความเครียด ว้าเหว่ เพราะไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้เจอกับใครนอกจาก host ในบ้านหลังเล็กๆ และไม่มีความชัดเจนว่าจะได้กลับบ้านเมื่อใด

ผมทุกข์ทรมานเป็นห่วงลูกอย่างที่สุด ในหัวไม่มีเรื่องอื่นใด สมาธิทำงานก็ไม่มี บางที น้ำตาก็ไหลออกมาเสียอย่างนั้น เราเคยจัดการแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตด้วยตัวเองได้ แต่มาบัดนี้ กลับต้องยอมรับว่า ทุกอย่างเหนือจากความควบคุมของเราจริงๆ

ผมปรึกษาเพื่อนและญาติ ทุกคนให้กำลังใจและพยายามหาทางช่วย แต่ก็ติดขัดพบทางตันไปหมด ไม่เห็นหนทางใดที่ลูกจะได้กลับบ้านหาครอบครัว จนในที่สุดผมก็ทำจดหมายถึงท่านปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เล่าให้ท่านฟังถึงปัญหาของเด็กนักเรียนที่ติดค้างอยู่ในนิวซีแลนด์เป็นจำนวนมากและด้วยเวลาที่ผ่านไปนานเท่าใดก็ยิ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตทั้งกับเด็กและผู้ปกครองมากเท่านั้น

เมื่อทางกระทรวงต่างประเทศรับทราบปัญหา ก็ได้กรุณาบรรจุเที่ยวบิน Repatriation flight รับคนไทยที่ติดค้างในนิวซีแลนด์ กลับประเทศไทย ในวันที่ 27 เมษายน 2563 ผมโล่งใจไปมาก แต่อย่างไรก็ตาม การเดินทางในประเทศนิวซีแลนด์ในช่วงล็อคดาวน์ นั้นติดขัดมาก เที่ยวบินมีน้อย และเขามีความเข้มงวดมากในการเคลื่อนย้ายผู้คน เที่ยวบินต่างๆ ถูกยกเลิกแบบกะทันหันบ่อยมาก นับเป็นโจทย์โลจิสติกส์ที่ยากมากสำหรับเด็ก 12 ปี กับเพื่อนอายุเท่ากันอีกหนึ่งคนจะเดินทางกันเองจากเมืองบ้านนอกใต้สุดของเกาะใต้ (invercargill) ไปยังสนามบินนานาชาติที่ Auckland ที่เกาะเหนือ

แต่ด้วยความช่วยเหลืออย่างมากจากคุณครูและทางโรงเรียน ให้คนขับรถโรงเรียนขับ 8 ชั่วโมงจาก invercargill ไป Christchurch เพื่อต่อเครื่องบินมาถึง Auckland จนได้ และสามารถเดินทางกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่ได้ในวันนี้

ตลอดช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ผมได้รับกำลังใจและความช่วยเหลือจากผู้คนมากมาย

ที่ต้องขอกล่าวคำขอบคุณอย่างที่สุดคือ สถานทูตไทยประจำกรุง Wellington Royal Thai Embassy, Wellington ท่านทูตดนัยและภรรยาท่านทูตคุณศิริวรรณ Siriwan Mena

ท่านทั้งสอง และเจ้าหน้าที่ สถานทูต ทำงานด้วยหัวจิตหัวใจ ด้วยความเมตตา ท่านทำมากกว่าเพียงเพราะเป็นหน้าที่

ท่านทูต โทรศัพท์ให้กำลังใจเด็กๆ มาโดยตลอด ท่านมารับเด็กๆ และมาประสานงานที่สนามบินด้วยตัวท่านเอง ทีมงานสถานทูต ต้องวางแผน ประสานงานกับทั้งทางการรัฐบาลไทย และนิวซีแลนด์ การบินไทย ตัวแทนเอเยนต์ที่พานักเรียนมา รวมถึงคนไทยที่ติดค้างตามหัวเมืองต่างๆ นับเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อน เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนไทยที่ติดค้างในนิวซีแลนด์สามารถเดินทางกลับบ้านได้

ผมมองว่างานนี้หากทางสถานทูตทำงานแบบราชก๊านราชการ ที่เราคุ้นเคย รับรองไม่มีทางสำเร็จเลย ความช่วยเหลือและกำลังใจที่ได้จากผู้คนมากมายตลอดทางนี้ มันเอ่อล้นหัวใจจริงๆ ครับ

ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิ์จะได้กลับบ้านครับ การดูแลปัจเจก ไม่ทอดทิ้งกัน เป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามมีความจำเป็นยิ่งยวดที่ต้องป้องกันผลกระทบต่อส่วนรวม ดังนั้นการมีมาตรการการกักตัวอย่างเข้มงวดโดยไม่มีอภิสิทธิ์ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

ขณะนี้ผมได้เข้ากับตัวกับลูกสาวที่ State Quarantine ในกทม. เหตุที่ต้องขอกักตัวร่วมกับลูกด้วย เพราะลูกยังเล็ก การอยู่คนเดียว 14 วัน ไม่ง่ายสำหรับเด็ก 12 ปีครับ ดีใจที่สามารถทำได้หากแจ้งความจำเป็นกับทางการครับ...”

หลังจากโพสต์ไป หมอหม่องเปิดเผยกับจุดประกายว่า นั่นเป็นเกือบสองเดือนที่ทุกข์ทรมานใจมาก เพราะไม่ว่าจะหาทางออกอย่างไรกลับกลายเป็นทางตันไปเสียหมด

“ถ้าเป็นปกติเราก็แก้ปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ อาจซื้อตั๋วใหม่ แต่นี่แม้แต่จะใช้เงินแก้ปัญหาก็ไม่ได้ มันตันไปหมด ผมก็ไม่รู้ว่าลูกจะกลับมาหาครอบครัวได้อย่างไร ก็มีร้องไห้บ้าง เพราะความคิดถึงน่ะคิดถึงอยู่แล้วครับ แต่เป็นความห่วงใยโดยที่เราจะไปหากันไม่ได้”

เขาเล่าว่าตอนนั้นถึงขั้นค้นหาเที่ยวบินพิเศษ เป็นภาวะของคนสิ้นหวังที่พยายามทำอะไรก็ได้ที่ ‘น่าจะ’ เป็นทางออก หมอหม่องนิยามว่าเหมือนมียอดเขาเอเวอเรสต์มาอยู่บนอกตลอดเวลา ซึ่งก็น่าจะเป็นความรู้สึกของพ่อแม่ทุกคนที่รักและห่วงลูก ยิ่งวิกฤตการณ์หนักข้อ ก็ยิ่งกลัวว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันอีก เมื่อนึกถึงลูกสาววัย 12 อยู่คนเดียวในต่างแดนทีไร เขาแทบจะกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ได้ก่อนจะพูดต่อ

“ผมโทษตัวเอง แต่ก็พยายามเตือนตัวเองไม่ให้คิดแบบนั้น ผมโทษตัวเองที่ทำไมตัดสินใจให้ลูกไป มองไม่ออกหรืออย่างไรว่าจะเป็นแบบนั้น ผมก็ต้องพยายามไม่แสดงความกังวลและความวิตกตอนที่โทรหาลูก ก็พยายามคุยให้กำลังใจเขา แต่หลังจากนั้นเราก็เครียดของเราครับ กระทบการทำงาน กระทบอะไรหลายอย่าง

ส่วนลูกสาวผมก็เพิ่งรู้ว่าเขาคุยกับท่านทูต ท่านทูตก็ถามว่าเป็นอย่างไร ไหวไหม เขาก็บอกว่าต้องไหวสิคะ หนูไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เขาก็พยายามทำของเขาให้ดีที่สุด เขาคุมสติได้ดี และปรับตัวรับสภาพ คิดแง่บวกตลอด ช่วงที่ผมเสียงอ่อยๆ ไป เขาก็บอกผมว่า ให้พ่อคิดบวกนะ กลายเป็นเขาสอนเราให้เราเข้มแข็ง แต่พอไปนานๆ เขาก็เริ่มไม่ไหวจากหลายๆ สาเหตุ”

จากสิ่งที่พ่อลูกคู่นี้เผชิญ คงเหมือนกับอีกหลายครอบครัว ไม่ว่าจะห่างไกลเพียงหลักร้อยกิโลเมตร หรือนับพันนับหมื่นไมล์ กลายเป็นบทเรียนที่เขาไม่อาจตอบได้ว่าช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นหรือไม่

“แต่ลูกคงเห็นว่าเรารักเขามากแค่ไหน เราหาหนทางทุกอย่าง ผมพยายามบอกเขาให้รู้ว่ามีคนช่วยเราเยอะมาก อยากให้เขานึกถึงบุญคุณของคนมากมาย” หมอหม่องบอก

เหล่านี้คือเสียงจากหัวใจของคนเป็นพ่อ จากความพยายามพาลูกสาวกลับบ้านจนประสบผลสำเร็จ โรคระบาดสอนบางอย่างแก่เขา อย่างช่วงท้ายของโพสต์ที่ว่า “ตั้งแต่โควิดครองโลก ทุกวันนี้ ความสุขที่พวกเราเพรียกหา หาใช่สิ่งฟู่ฟ่าใดๆ หากคือความเป็นปกติธรรมดา สำหรับผม พ่อแม่ลูกอยู่พร้อมหน้ากัน เป็นความปกติธรรมดา ที่ผมต้องการที่สุดแล้วครับ”