แพทย์ เผย "ฝีดาษลิง" ตรวจพบเร็วลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโรคได้

แพทย์ เผย "ฝีดาษลิง" ตรวจพบเร็วลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโรคได้

แพทย์เผยข้อมูล ฝีดาษลิง ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม ชี้ตรวจพบเร็วลดความเสี่ยงแพร่ระบาดได้ พร้อมเผยแนวทางป้องกัน และรักษาโรค พร้อมย้ำปัจจุบันยังไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศไทย เน้นเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงอัพเดตในวันนี้ (14 มิ.ย.65) มีรายงานผู้ป่วยยืนยันประมาณ 1,500 คน กระจายทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศกลุ่มเสี่ยงในแถบยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะในประเทศสเปน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และโปรตุเกส ที่มีรายงานการระบาดพบจำนวนผู้ติดเชื้อเกิน 20 คน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2565 ที่ผ่านมา บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด จับมือศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดงานเสวนาเชิงวิชาการออนไลน์ โรช คอนเน็ค เดอะ ดอทส์ (Roche Connect the Dots) ในหัวข้อ “ล้วงลึก เจาะประเด็น "ฝีดาษลิง" และการตรวจหาเชื้อแบบ PCR”

แพทย์ เผย \"ฝีดาษลิง\" ตรวจพบเร็วลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโรคได้

เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก การคาดการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกและประเทศไทย สาเหตุและอาการของโรค วิธีการตรวจ การติดตามผล และการรักษา รวมถึง เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัย ตลอดจนมาตรการการรับมือจากองค์การอนามัยโลก และในประเทศไทย

ผศ. นพ. โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย  เปิดเผยว่า โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตระกูล ออโธพอกซ์ (orthopox) จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง หรือ การรับประทานเนื้อสัตว์ตระกูลสัตว์ฟันแทะ ซึ่งเมื่อติดเชื้อในคนจะทำเกิดอาการไข้ มีผื่นตุ่มน้ำ ตุ่มหนองตามร่างกาย คล้ายโรคฝีดาษ(smallpox) ที่ถูกกำจัดไปแล้วในไปปี ค.ศ 1968

 

  • แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในไทย 

ปัจจุบันยังไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ซึ่งยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่ามีการแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด เนื่องจากไวรัสมีระยะฟักตัวนานได้ถึง 21 วัน และในบางรายพบว่าอาการผื่นตุ่มน้ำเกิดขึ้นเพียงในเยื่อบุช่องปาก และที่อวัยวะเพศถึง 60% คล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างเริม หรืออาจจะเป็นเชื้อซิฟิลิส ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคฝีดาษลิง ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้ผศ.นพ. โอภาส กล่าว

สำหรับผู้ที่มีประวัติสัมผัสเสี่ยงสูง มีความจำเป็นต้องกักตัวเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 3 สัปดาห์ จึงจะสามารถสังเกตอาการที่ชี้ชัดได้ว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อหรือไม่ หากไม่พบว่ามีการปรากฎ ก็ไม่จัดว่าเป็นผู้ป่วย

แพทย์ เผย \"ฝีดาษลิง\" ตรวจพบเร็วลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโรคได้

แนวทางการรักษาในปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อฝีดาษวานร สามารถรักษาด้วยยาต้านไวรัส 3 กลุ่ม ซึ่งถึงแม้จะยังไม่ใช่ยามาตรฐานเฉพาะสำหรับโรค แต่สามารถใช้ยารักษาฝีดาษในมนุษย์ได้ ได้แก่ Tecovirimat และ Cidofovir, Brincidofovir ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อตับได้เพียงเล็กน้อย และเนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อที่สามารถหายได้เองในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง และอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ

การใช้ยาต้านไวรัส ยังมีความจำเป็นเฉพาะผู้ป่วยบางรายได้เท่านั้น ที่มีความเสี่ยงอันตรายจากโรคถึงชีวิต เช่น ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด

 

  • ใช้วิธี RT-PCR และการถอดรหัสสารพันธุกรรม ป้องกันเชิงรุก

ประชาชนทั่วไปยังไม่มีความจำเป็นต้องรับการฉีดวัคซีนเหมือนกับโรคระบาดอื่น ๆ เช่นโควิด 19 เนื่องจากโอกาสในการแพร่ระบาดยังเป็นวงจำกัด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ ได้แก่ แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่พยาบาล ที่มีโอกาสสัมผัสโรคนี้ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย ซึ่งสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังจากมีความเสี่ยง

ด้าน ดร. พิไลลักษณ์ อัคคไพบูลย์ โอกาดะ หัวหน้าศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงการวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการว่า เนื่องจากโรคฝีดาษลิงเป็นโรคที่มีข้อมูลและประสบการณ์ในการตรวจหาเชื้อฯ มาแล้ว และด้วยแผนปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่มีความพร้อม และการตอบโต้สถานการณ์ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา

เป็นเสมือนการซ้อมแผนในสถานการณ์จริง ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่มีความพร้อมรับมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมีความเชี่ยวชาญและพร้อมในการปฏิบัติงาน จึงสามารถเตรียมการตรวจได้ในทันที ทั้งระบบการคัดกรองและการตรวจวินิจฉัยเชื้อเพื่อช่วยในการยืนยัน

โดยในปัจจุบันสามารถใช้วิธี RT-PCR และการถอดรหัสสารพันธุกรรม ซึ่งถือเป็นการป้องกันเชิงรุกที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการตรวจวินิฉัยเชื้อซึ่งจะสามารถแยกผู้ป่วยออกจากสังคมเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้รวดเร็ว ลดการแพร่ระบาดได้

แพทย์ เผย \"ฝีดาษลิง\" ตรวจพบเร็วลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโรคได้

“สำหรับการตรวจวินิจฉัยเชื้อสามารถทำได้โดยเก็บตัวอย่างทั้งการสะกิดแผล เลือด และการสว็อบ ซึ่งผลตรวจจะออกภายใน 24 ชั่วโมง สำหรับการรักษายังคงเป็นการรักษาตามอาการ โดยส่วนใหญ่โรคสามารถหายเองได้ อย่างไรก็ตามน้ำยาสำหรับตรวจ RT-PCR ต้องเป็นน้ำยาที่สามารถตรวจจับเชื้อที่เป็นสาเหตุของการระบาดในปี 2022 นี้” ดร.พิไลลักษณ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่พบอาการผิดปกติต้องสงสัย สามารถขอเข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน โดยชุดข้อมูลจากการสอบสวนโรคจากสถานพยาบาลจะถูกส่งไปยังกรมควบคุมโรค ในขณะที่ตัวอย่างเชื้อจะถูกส่งต่อมายังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อนำไปสู่การตรวจหาเชื้อในห้องปฏิบัติการในห้องชีวนิรภัย ของกรมวิทย์ฯต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์จะมีการพิจารณาระดับความรุนแรงของโรคเพื่อการจัดลำดับอีกครั้ง โดยประเมินจากสถานการณ์ของโรค

  • ย้ำตรวจคัดกรองได้เร็ว ลดการแพร่กระจายเชื้อได้ 

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรม และเพื่อวางแผนแนวทางการปัองกันและรักษาว่า โรคฝีดาษลิงที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ เป็นสายพันธุ์ฝีดาษลิงที่มีการกลายพันธุ์แล้วซึ่งมีการกลายพันธุ์ไปถึง 40 ตำแหน่งเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม และ มีการกลายพันธุ์เร็วขึ้น

ดังนั้น การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง (MONKEYPOX) จะช่วยในการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ และช่วยตอบคำถามว่าทำไมจึงมีการระบาดของโรคฝีดาษลิงพร้อมกันกว่า 100 รายในหลายประเทศนอกทวีปแอฟริกา(ซึ่งถือเป็นโรคประจำถิ่น) ทั้งในยุโรบ สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย

แพทย์ เผย \"ฝีดาษลิง\" ตรวจพบเร็วลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโรคได้

“จากการศึกษาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีการกลายพันธุ์เร็วขึ้นเป็น 1 ตำแหน่งต่อเดือน จากเดิมเพียง 1 ตำแหน่งต่อปี ซึ่งการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอันตรายที่ต้องเตรียมรับมือ โดยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้ามาในประเทศไทยในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่ามีการระบาดของโรคฝีดาษลิงในคนเกิดขึ้นในประเทศเป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถทำการ PCR “สวอป” น้ำลาย ส่วนน้ำหรือหนองจากตุ่มแผล ทำการสกัดสารพันธุกรรม (nucleic acid purification) ส่งมายังศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ เพื่อให้ร่วมด้วยช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมได้” ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าว