“พีระพันธุ์”สายตรง 2ป.? ภารกิจรีโนเวท “พปชร.”

“พีระพันธุ์”สายตรง 2ป.? ภารกิจรีโนเวท “พปชร.”

การวางพื้นฐานของประเทศต้องมีครบ 5 ด้าน 1.การศึกษา 2.วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี 3.สาธารณสุข 4.สังคม และ 5. ความมั่นคง สิงคโปร์ยึดแนวทางแบบนี้ ถ้าทุกอย่างดีทั้งหมดยกเว้นความมั่นคง เพียง 1 ชั่วโมง ประเทศถูกยึด แล้วจะมีประโยชน์อะไร

อยู่ในสปอตไลท์การเมือง ที่ร้อนและแรงทันที เมื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ขยับเข้าไปมีสถานะเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็น “ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” ของพี่ใหญ่ 3 ป.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่ามกลางกระแสข่าวสัมพันธ์ร้าวระหว่างพี่น้อง 3 ป.ทำให้ “พีระพันธุ์” คนที่อยู่ระหว่างกลางผู้มีอำนาจ ถูกจับจ้องเป็นตัวละครการเมืองสำคัญ หรือถูกวางตัวเข้ามาทำภารกิจของฝ่ายใด เป็นสายตรงทำเนียบฯ ป.ประยุทธ์ ที่ถูกส่งไปอยู่ในพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ 

“พีระพันธุ์” มีคำตอบต่อข้อสงสัย ที่ชื่อเขาไปอยู่ในทฤษฎีการเมืองต่างๆ พร้อมทั้งเปิดใจเรื่องแนวคิดการทำงาน ที่ไม่มีนัยแอบแฝง เข้ามาแสวงหาตำแหน่งในพรรค หรือในทำเนียบรัฐบาลอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เขาวางสถานะตัวเองไว้อย่างไร ไปพบคำตอบ

พีระพันธุ์ เปิดเผยถึงที่มาที่ไปว่า เหตุที่มาสนับสนุนการทำงานของ พล.อ.ประวิตร เพราะท่านมีความตั้งใจอย่างนี้จริงๆ ผมมีโอกาสพูดคุยกับท่านตั้งแต่ต้นปี 2563 ท่านไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจ ผมก็คิดแค่นี้มาสนับสนุนท่าน ส่วนทำได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับความร่วมมือ ผมมองว่าพล.อ.ประวิตร อยากสร้างพรรคให้เป็นสถาบันทางการเมือง อย่างน้อยให้อยู่ต่อไป เป็นที่ผลิตคนมีคุณภาพให้บ้านเมือง

ตามระบอบประชาธิปไตย หนีไม่พ้นจะต้องมีพรรคการเมืองมีนักการเมืองเป็นกลไก หากเปรียบพรรคการเมืองเป็นกิจการ ถ้าได้คนไม่ดี กิจการก็เจ๊ง คนที่เข้ามาอยู่ในพรรคการเมืองอันดับแรกต้องมีความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ มีความตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าประโยชน์ตัวเอง สิ่งสำคัญคืออำนาจการบริหารและนิติบัญญัตินั้น คนที่จะมาอยู่ตรงนี้ต้องมีความรอบรู้ ในหลายเรื่อง ไม่เช่นนั้นจะไปออกกฎหมายมาดูแลสังคมดูแลประเทศได้อย่างไร วันหนึ่งคุณต้องไปเป็นผู้บริหารประเทศ จะมีความรู้ไปบริหารได้อย่างไร

ผมมองในมุมที่ว่าใครก็แล้วแต่เข้ามาแล้วต้องมีแนวทางอันนี้ มันถึงเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่จะพาประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ มีแต่จะพาประเทศล่มจม นั่นคือหายนะของระบอบประชาธิปไตย หลักการมันควรจะต้องเป็นอย่างนี้ การที่จะเป็นอย่างนี้ได้ เราจะทำอย่างไรให้คนที่มาจากหลายทิศทาง หลายอาชีพที่มารวมกันอยู่ในพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เดินไปในแนวทางเดียวกันที่ถูกต้อง มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์หลากหลายมากขึ้น มันก็คือพรรคการเมืองต้องมีการพัฒนาศักยภาพคนของเขา ไม่ใช่คิดแต่ว่าเอาจำนวน ส.ส.เข้ามา ต้องคิดด้วยว่า ต้องมีคุณภาพ เพื่อให้ประชาชนฝากความหวังได้

“ประเทศไทยไม่เหมือนประเทศอื่น เรามีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักของประเทศ ไม่ใช่เพิ่งมี แต่เป็นวัฒนธรรมของเรามาเป็นพันๆ ปี นักการเมืองต้องตระหนักด้วยว่าบ้านเมืองอยู่มาได้ทุกวันนี้ เพราะสถาบันหลักนี้ด้วย นอกจากจิตสำนึกเรื่องการทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองโดยรวมแล้ว ก็มีหน้าที่ต้องค้ำจุนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วย”

สถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยเราไม่เหมือนที่อื่น ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้รับการสอนเรื่องนี้ หลักสูตรการศึกษาก็เปลี่ยนไปเยอะ ต้องรีบแก้ไข เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ในมุมของผม ผมไม่มองในมุมการเมือง แต่มองว่าคือความล้มเหลวของระบบการศึกษาของเรา ที่ไม่ได้ให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเด็กเกี่ยวกับความเป็นชาติ ความเป็นมาของเรา เกี่ยวกับสถาบันต่างๆทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ทำให้ได้รับข้อมูลในทางที่ผิด

นอกจากนั้น จะต้องสอนให้เด็กรู้จักคิดรู้จักตรึกตรองข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับด้วยเหตุผลและด้วยการแสวงหาข้อเท็จจริง ไม่เชื่อข้อมูลข่าวสารที่ส่งต่อกันมาง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อโลกในยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีการสื่อสารและโซเชียลมีเดียที่เข้ามามีอิทธิพลด้านข้อมูลต่างๆ ทั้งต่อเด็กและผู้ใหญ่ ก็ยิ่งจะต้องมีระบบมีรูปแบบการชี้แนะให้คิดตรึกตรองด้วยเหตุผลและด้วยการแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นอย่างเป็นระบบและจริงจัง

ประเทศไทยเรามีคำว่าพระมหากษัตริย์ และมีคำว่าพระเจ้าแผ่นดิน อาจเป็นประเทศเดียวในโลก ที่เรียกพระมหากษัตริย์ว่าพระเจ้าแผ่นดิน ทำไมเรามีคำว่าพระเจ้าแผ่นดิน ก็เพราะความเป็นมาของชาติเราไม่เหมือนชาติทางยุโรปหรืออเมริกา แผ่นดินไทยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามเส้นเขตแดนธรรมชาติ แต่เกิดจากการเสียสละเลือดเนื้อของบรรดาพระมหากษัตริย์และบรรพบุรุษนักรบของเราที่รวบรวมแคว้นต่างๆ เข้าด้วยกันบ้าง และที่เข้ามาสวามิภักดิ์ด้วยบุญญาบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์เจ้าของเราบ้าง จนเป็นแผ่นดินไทยที่เป็นปึกแผ่นทุกวันนี้ 

เราจึงมีความผูกพันว่าท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่เป็นเพียงกษัตริย์ที่เป็นแค่สถานะ เราทุกคนจึงมีหน้าที่ต้องดูแลแผ่นดินที่ไม่ได้มาฟรีๆ นี้ให้ลูกหลานต่อไป และเมื่อรูปแบบการปกครองเปลี่ยนแปลงไป นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยทุกวันนี้จึงต้องทำเช่นเดียวกับบรรพบุรุษในอดีตที่ต้องช่วยดูแลรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้กับลูกหลานต่อไป

นักการเมืองของประเทศไทยเราอย่าไปคิดว่าต้องเป็นอย่างต่างประเทศ 100% เรากับเขามาคนละแบบ วัฒนธรรมประเพณีคนละแบบ สังคมก็เป็นคนละแบบ ต้องช่วยกันค้ำจุนสถาบันหลักของชาติไว้ ผมคิดว่าพรรคการเมืองไทยต้องหล่อหลอมคนของตัวเองให้รู้สึกผูกพันกับชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาความรู้ความสามารถให้ทันยุคทันสมัย

ขณะเดียวกัน เราต้องดูด้วยว่าสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในบ้านเมืองมีผลกระทบอะไร ต้องการอะไรและเราจะแก้ปัญหาได้อย่าง ตรงนี้เป็นอีกส่วนที่เราต้องพัฒนาศักยภาพนักการเมืองในพรรคการเมืองให้เข้าใจเพื่อแก้ปัญหาให้ได้ 

สถานการณ์วันนี้ตามเงื่อนไขกฎหมายมีหลายอย่างซึ่งทำไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ความเป็นจริงประชาชนไม่ได้รู้ด้วยหรอกว่า กฎหมายห้ามอะไรไม่ห้ามอะไร เขาก็ยังคาดหวัง ยังอยากให้นักการเมืองช่วยตรงนั้นทำตรงนี้ ก็ต้องอัพเดตประชาชนให้รู้ว่า กฎหมายเป็นอย่างนี้ทำอะไรได้เท่าไหร่ และเราก็ต้องรู้ช่องทางที่ทำงานได้โดยไม่ขัดกฎหมาย เพื่อที่จะได้มีผลงานกับประชาชนด้วย

ขณะเดียวกัน ส.ส. ไม่ใช่จะดูแลเฉพาะชาวบ้านทั่วไปในพื้นที่ เราก็ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่านักการเมืองของพรรคการเมืองเรามีคุณภาพเหมาะสมสำหรับการเป็นผู้แทนของเขาและการบริหารประเทศ ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่า แต่ละคนของเรามีความรู้ในด้านต่างๆ ต้องให้สมาชิกในพรรคการเมืองเรียนรู้ว่าถนัดงานอะไรชอบงานอะไร แล้วก็ต้องอบรมให้ความรู้เพิ่มเติมในแต่ละด้าน สามารถนำไปพูดนำไปนำเสนอประชาชนทั้งในพื้นที่ และในภาพรวมของประเทศได้ว่า เราเข้าใจและมีความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาของประเทศและประชาชนอย่างไรบ้าง ถ้า ส.ส.ของเราไม่มีความรู้หรือความมั่นใจในเรื่องเหล่านี้ เขาก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้และจะทำให้ประชาชนขาดความมั่นใจในพรรคการเมืองนั้นๆ

“ผมคิดว่าพรรคการเมืองถ้าจะให้เป็นสถาบันทางการเมืองในความคิดของผม ไม่ใช่ว่ามี ส.ส.กี่คน หรือเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ สถาบันทางการเมืองในที่นี้คือว่า จะต้องมีความต่อเนื่องของความคงอยู่ และในความคงอยู่นั้น ต้องคงอยู่แบบมีคุณภาพ เป็นหลักให้สังคมให้บ้านเมืองได้ ถึงจะเป็นสถาบัน ในฐานะประชาชนเขาก็ต้องคาดหวังว่า ยิ่งยืนยาว ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งจะต้องเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง เป็นประโยชน์กับประชาชน”

การที่นักการเมืองคิดว่าตัวเองทำประโยชน์ในแบบของเขา ตอบโจทย์ประชาชนหรือไม่ ก็ต้องเรียนรู้ ถ้าสิ่งที่คุณเป็นไม่ตอบโจทย์ประชาชน มันก็คือไม่ใช่ แต่ถ้าดันทุรังบอกว่าใช่ ก็ไม่มีใครไปว่าคุณได้ แต่มันจะเป็นที่มาของความเสื่อม ที่ประชาชนเบื่อหน่ายเอือมระอา กับพรรคการเมืองกับระบบการเมือง ผมเห็นว่าเป็นอันตรายกับระบอบประชาธิปไตย

สิ่งสำคัญประเทศจะไปในทิศทางไหนอยู่ที่การศึกษาและการอบรมสั่งสอน คนญี่ปุ่นรักความสะอาดอย่างมากไม่ใช่เพราะประชาธิปไตยแต่เป็นเพราะการศึกษาอบรม สมัยผมเป็นรัฐมนตรียุติธรรมเคยไปดูงานที่เรือนจำประเทศญี่ปุ่น นึกว่าโรงพยาบาล สะอาดมาก ขนาดเป็นผู้ต้องโทษแต่ทุกอย่างเป็นระเบียบ เป็นเพราะเขาถูกอบรมสั่งสอนถูกปลูกฝังในเรื่องความสะอาดและระเบียบวินัยให้เป็นพื้นฐานชีวิตมาตั้งแต่เด็ก

หน้าที่หลักของโรงเรียนคือต้องสร้างคนให้เป็นคน ให้รู้ว่าจะอยู่ในสังคมร่วมกันได้อย่างไร ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ไม่ใช่สร้างขึ้นมาให้ทะเลาะแก่งแย่งกันเป็นคนเก่ง ญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย ขนาดเป็นนักโทษก็ยังไม่ทิ้งความเป็นญี่ปุ่น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเป็นคนญี่ปุ่นหรือไม่ ไม่ใช่ ทุกอย่างมาจากการศึกษา และการอบรมสั่งสอน เมื่อทุกคนมีพื้นฐานการปลูกฝังมาแบบนี้มันก็กลายเป็นพื้นฐานของสังคมและครอบครัวที่ช่วยกันอบรมลูกหลานควบคู่กับโรงเรียนด้วย

การศึกษาจึงไม่ใช่มองเฉพาะในแง่ของความรู้ ต้องมองในแง่ของการปลูกฝังความเป็นคนไทยที่มีระเบียบวินัย มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรักชาติรักบ้านเมือง รู้จักเคารพคนอื่น ไม่เอาความคิดของเราเป็นใหญ่ ต้องให้ความสำคัญกับความคิดคนอื่นด้วย ทั้งหมดไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย แต่มาจากการอบรมสั่งสอนทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน หลักสูตรการศึกษาต้องเน้นพวกนี้ด้วย ไม่ใช่เน้นแต่วิชาการ มิฉะนั้นสังคมจะเละเทะลงไปทุกวัน เรื่องเหล่านี้ควรเป็นนโยบายพรรคการเมือง ควรต้องมีนโยบายเพื่อดูแลสังคมไทยรุ่นต่อไปว่าจะให้พวกเขาเป็นอย่างไร

“ผมอยากจะวางรากฐานให้คนไทยรุ่นใหม่ ที่จะมารับช่วงจากพวกเราเติบโตมาเป็นคนไทยที่มีระเบียบวินัย รักชาติบ้านเมือง รู้จักหน้าที่ เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิและความคิดของผู้อื่นไม่ใช่แค่คนไทยที่เรียนเก่ง แต่ขี้โกง เอาเปรียบคนอื่น ไม่สนใจคนอื่น เอาตนเองและความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง เราต้องกำหนดทิศทางให้ชัดเจน ผมอยากจะวางหลักสูตรหรือระบบอะไรก็แล้วแต่ให้จีรังยั่งยืนที่จะทำให้คนไทยรุ่นใหม่เป็นแบบนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับทั้งประเทศชาติและตัวเขาเอง”

การวางพื้นฐานของประเทศต้องมีครบ 5 ด้าน 1.การศึกษา 2.วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี3.สาธารณสุข 4.สังคม และ 5. ความมั่นคงประเทศ สิงคโปร์ยึดแนวทางแบบนี้ ถ้าทุกอย่างดีทั้งหมดยกเว้นความมั่นคง เพียง 1 ชั่วโมง ประเทศถูกยึด แล้วจะมีประโยชน์อะไร นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับด้านการทหารและความมั่นคง ยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองต้องชัดเจนว่า 5 เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร

นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงอยากให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ดีมีความสุข รักชาติบ้านเมือง ค้ำจุนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้กับลูกหลาน ถ้าไม่มีหลักสามเสานี้ บ้านเมืองมีปัญหาแน่ ดังนั้นการพาชาติไปข้างหน้าถือเป็นภารกิจของคนที่อยู่ในซีกการเมืองทุกคน

“ผมก็มีแนวคิดว่ามันควรจะต้องเป็นอย่างนี้ ส่วนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน คนในพรรคเห็นด้วยแค่ไหน ตอบไม่ได้ ผมแค่หวังดีเท่านั้น เมื่อมอบหมายให้ทำอะไรผมก็ทำเต็มที่ นั่นคือความเป็นผม ส่วนใครจะคิดอะไร ก็ต้องเคารพสิทธิเขา เขาคิดอีกอย่างก็เรื่องของเขา แต่ไม่มีสิทธิมาบอกว่าสิ่งที่เราคิดผิดหรือถูก เราก็ไม่มีสิทธิไปบอกว่าเขาผิดหรือถูก”

ส่วนบทบาททางการเมืองต่อจากนี้ ผมไม่ได้วางแผน ผมไม่สนใจ ผมสนใจแต่เรื่องงาน ทำภารกิจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดพอ เราไม่มีทางรู้ชะตาอนาคตได้เลย สิ่งที่เราต้องทำคือทำวันนี้ให้ดีที่สุด เหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสไว้ว่า ทุกคนมีหน้าที่ ถ้าทุกคนทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุด บ้านเมืองก็จะดีเอง

“ผมไม่เคยมีความคิดอยากเป็นอะไร ผมไม่ได้มาสนใจตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างอยู่ที่ฟ้าลิขิต ไม่ต้องทำอะไรหรอก ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดเพื่อบ้านเมืองพอแล้ว เป็นความคิดของผมแบบนี้ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ผมสอนมาแบบนี้ ผมเป็นมนุษย์แบบนี้ ผมไม่ได้มีความทะเยอทะยานต้องการอะไรทั้งสิ้น"

"ผมต้องการทำงานเพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่ทำงานเพื่อไต่เต้า ผมคิดอยู่แค่นั้น ความเป็นตัวตนผมเป็นอย่างนี้ ถึงผมไม่ได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ ผมก็ต้องหางานที่ผมต้องทำ ให้ผมนั่งเฉยๆผมนั่งไม่เป็น ประเภทนั่งทับตำแหน่งแล้วไม่มีงานทำ ผมทำไม่เป็น ผมคิดอยู่แค่นั้น ผมไม่สนใจตำแหน่ง ให้ผมอยู่ตรงไหนแล้วผมทำงานที่เป็นประโยชน์ได้ ผมเอาหมด ไม่ใช่ต้องเป็นโน้นเป็นนี่” พีระพันธุ์ นิยามตัวตนของเขา