ใครขโมยการศึกษาของเด็กชายขอบ?

ใครขโมยการศึกษาของเด็กชายขอบ?

ความเท่าเทียมทางการศึกษา ยังไม่เกิดกับเด็กชายขอบ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจาก นักเรียนและคณะครูศูนย์การเรียนชุมชนศรีสุวรรณสะเนพ่อง

" เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง" เป็นคำขวัญวันเด็กปี 2560 ที่ดูเหมือนว่า “ผู้มีอำนาจ” แนะชี้ทางเด็กทั้งประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็มีคำถามว่าบ้านเมืองเราให้การศึกษาเท่าเทียมกันหรือยัง

นักเรียนและคณะครูศูนย์การเรียนชุมชนศรีสุวรรณสะเนพ่อง (วิถีกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร) จ.น่าน ร่วมกับศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน จ.กาญจนบุรี ศูนย์การเรียนบ้านอุ่นไอรัก มูลนิธิส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน และสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม ส่งหนังสือ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ขอให้ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิด้านการศึกษา กรณีรัฐไม่ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต่อสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)

นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ศูนย์การเรียนดังกล่าวถูกจัดตั้งอย่างถูกกฎหมาย แต่ยังไม่ได้รับการปฏิบัติจากภาครัฐ จึงจะนำเรื่องยื่นเข้า กสม. เพื่อพิจารณานโยบาย รวมถึงเข้าหารือกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ แต่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาได้

นายธนู เอกโชติ ทนายความสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงปัญหาโดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นดังนี้ ประเด็นที่ 1 เด็กนักเรียน โรงเรียนและชุมชนดังกล่าวไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ตาม พรบ.การศึกษา พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๖๑ คือ ไม่ได้รับเงินสนับสนุนการศึกษาจากรัฐและไม่ได้ลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานและละเมิดสิทธิเด็ก

ประเด็นที่ 2 กฎกระทรวง ว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ.๒๕๕๕ ข้อ ๑๓ ระบุว่า “ศูนย์การเรียนอาจได้รับสิทธิประโยชน์ด้านเงินอุดหนุนจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเอกชนอื่นสาหรับการจัดการศึกษาได้” ทั้งนี้คำว่า “อาจ” ขัดแย้งกับ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๖๑ ของพรบ.การศึกษา อาจส่งผลต่อการตีความทางกฎหมาย ทำให้ศูนย์การเรียนไม่ได้รับเงินสนับสนุนด้านการศึกษาและสิทธิประโยชน์ทางการศึกษาจากภาครัฐ และประเด็นที่ 3 ปัจจุบันภาครัฐไม่ได้มีการแจกแจงงบประมาณการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบอย่างชัดเจน และไม่มีหน่วยงานไหนโดยตรงที่รับผิดชอบการศึกษานอกระบบ

ทนายความสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม ยังกล่าวอีกว่า สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน) มักอ้างเรื่องวุฒิการศึกษาและประกาศนียบัตรของครูผู้สอนตามหลักวิชาการ ทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อมจะเป็นครูอาสาหมดโอกาสในการให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนในชนบท

“ถ้าอ้างว่าครูอาสาที่มาสอนไม่มีวุฒิการศึกษาโดยตรง รัฐก็ต้องจัดครูผู้สอนเข้าไปเสริม ทั้งที่ครูจบวุฒปริญญาตรีมีมากมาย ทำไมไม่เอาครูมาสอน” นายธนูกล่าว

นายศุภรัช จรัสเพ็ชร์ ครูอาสา ศูนย์การเรียนชุมชนศรีสุวรรณสะเนพ่อง (วิถีกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร) จ.น่าน กล่าวว่า โรงเรียนก่อตั้งและจดทะเบียนก่อตั้งสถานศึกษาในปี พ.ศ.2557 เปิดสอนตั้งแต่มัธยมปีที่ 1-3 เปิดสอนฟรี มีนักเรียนทั้งหมด 43 คน โดยนักเรียนเป็นชาติพันธ์กระเหรี่ยง มีครูชุมชน 3 คน มีครูอาสา 5 คน โดยครูอาสาไม่ได้รับเงินเดือน และพักอาศัยกินอยู่ที่โรงเรียน

ปัจจุบันไม่ได้รับเงินและอุปกรณ์การเรียนสนับสนุนจากทางรัฐ ทำให้ไม่มีทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวัน หรือแม้แต่นมโรงเรียนที่ควรจะได้รับ เงินสนับสนุนส่วนใหญ่ได้จากกลุ่มคนใจดีหรือผู้บริจาค

ทั้งนี้การสอนจะแบ่งเป็น 8 กลุ่มสาระ มีตัวชี้วัดจาก สพฐ. และมีวิชาเพิ่มขึ้นมาคือ วิชา พีบีแอล โดยวิชาดังกล่าว โรงเรียนจะปรึกษาก่อนว่าจะสอนเรื่องอะไรก่อนหลัง พีบีแอลจะบูรณาการณ์วิชาต่างมารวมกัน และทุกๆ วันศุกร์จะมีวิชาภาษากระเหรี่ยงและภูมิปัญญา โดยมีปราชญ์ชาวบ้าน ท่อผ้า และการทำการเกษตร เป็นต้น

“ในการเรียกร้องครั้งนี้ไม่ได้จะมาบอกกับรัฐบาลหรือสังคมว่า เราแล้งแค้นยากจน ศูนย์การเรียนยังพึ่งพาตนเองได้อยู่ แต่ที่เรามาเรียกร้องสิทธิครั้งนี้เพราะเราไม่ควรถูกละเลยสิทธิ์ มันเป็นสิทธิที่นักเรียนควรจะได้รับ” นายศุภรัช ทิ้งท้าย

นางรวงทอง จันดา กรรมการมูลนิธิส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน กล่าวว่า เดิมทีการจัดตั้งศูนย์การเรียนดังกล่าว ชุมชนเป็นผู้เริ่มความคิด เนื่องจากอยากให้ลูกหลานได้รับการศึกษา มูลนิธิเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาและสร้างความเข้าใจแก่ชุมชน ตลอดจนให้คำแนะนำเรื่องหลักสูตรการเรียนและการจดทะเบียนสถานศึกษา

ปัจจุบันมีศูนย์การเรียนที่องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งสิ้น ๑๙ ศูนย์การเรียน มีผู้เรียนรวมทั้งสิ้น ๘๒๔ คน (ข้อมูลปีการศึกษา ๒๕๕๘ ; สมาคมสภาการศึกษาทางเลือก) ซึ่งมีทั้งการจัดการศึกษาในระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่พบว่าทั้งหมดยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐ

“ท้ายที่สุดถ้ายังไม่ดำเนินการเรื่องดังกล่าว จะทำการฟ้องร้องศาลปกครองสูงสุดให้เพิกถอน กฎกระทรวงข้อ 13 โดยเปลี่ยนจากคำว่า “อาจ” เป็น “ต้อง” เพื่อประโยชน์สิทธิ์ทางการศึกษาของเด็กทุกคน” นางรวงทองกล่าว

ตราบใดที่เด็กเกิดมาเติบใหญ่ มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ย่อมมีสิทธิ์และเสรีภาพทุกประการ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะมีชาติพันธ์ที่หลากหลายหรือเป็นเด็กชายขอบก็ตาม ดังนั้นภาครัฐควรปฏิบัติต่อเขาตามกฎหมายทัดเทียมกับคนไทยทุกคน