‘รพ.วชิระภูเก็ต’ ปรับแผน ATMPs 'งดวิจัย' ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้

"รพ.วชิระภูเก็ต" ปรับแผน ATMPs Sandbox งดวิจัย NK Cell ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ชี้ผลวิจัยระยะ1 ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน เดินหน้าต่อเฉพาะเรื่องผิวหน้า-หมอนรองกระดูกสันหลัง ขั้นตอนยังอยู่ระหว่างขออนุมัติโครงการวิจัย หากผ่านคาดจะเริ่มวิจัยในคนได้ปี 2569
KEY
POINTS
- โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตตัดสินใจงดการวิจัยการใช้เซลล์นักฆ่า (NK Cell) ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ ภายใต้โครงการ ATMPs Sandbox
- สาเหตุของการงดวิจัยมาจากปัจจัยด้านความปลอดภัยและผลการวิจัยในระยะที่ 1 ที่ยังไม่มีความชัดเจน
- โรงพยาบาลจะปรับแผนโดยมุ่งเน้นการวิจัยใน 2 กลุ่มโรคที่เหลือแทน ได้แก่ โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม และกลุ่มโรคผิวหนังและการชะลอวัย
"Thailand ATMP Roadmap 2025" กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ประกาศความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นฐานการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs) ที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาค มุ่งเน้นพัฒนาการแพทย์แม่นยำและ ATMPs ทั้งเซลล์บำบัด (Cell Therapy) และยีนบำบัด (Gene Therapy) คาดหวังให้เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) ของไทยภายใน 3 ปีข้างหน้า
ก่อนหน้านี้ สธ.มีแผนดำเนินการวิจัยโดยรับเงินทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน ภายใต้ โครงการ Advanced Therapy Medicinal Products Sandbox (ATMPs Sandbox) หรือ “เอทีเอ็มพี แซนด์บ็อกซ์” ซึ่งรพ.วชิระภูเก็ต เป็นหนึ่งในสถานพยาบาลที่จะดำเนินการวิจัยเรื่องนี้ โดยเริ่มต้นจาก 3 กลุ่มโรคที่พบมากในประเทศไทย คือ โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม, กลุ่มโรคผิวหนังและการชะลอวัย และมะเร็งลำไส้
งดวิจัย NK Cell ในผู้ป่วยมะเร็ง
ล่าสุด นพ.วีระศักดิ์ หล่อทองคำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ถึงความคืบหน้าโครงการ ATMPs Sandboxว่า ในส่วนที่รพ.วชิระภูเก็ตดำเนินการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)และภาคเอกชน มีการปรับหัวข้อที่จะดำเนินการวิจัยโดยจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของผิวหนังใบหน้าและหมอนรองกระดูกสันหลัง
ส่วนการวิจัยเรื่อง "เอ็นเคเซลล์" หรือ NK Cell (Natural Killer Cells) ขณะนี้ได้มีการตัดสินใจงดไป เนื่องจากปัจจัยเรื่องของความปลอดภัยและผลการวิจัยในระยะที่ 1 (Phase 1)เกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ยังไม่มีผลลัพธ์ออกมาอย่างชัดเจน
“การทำวิจัยด้วย NK Cell จะต้องนำมาใช้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จึงต้องรอให้มีงานวิจัยรองรับมากกว่านี้และรอผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเรื่องความปลอดภัยทั้งหมดเสียก่อน เพื่อความมั่นใจในการนำมาใช้งานจริง”นพ.วีระศักดิ์กล่าว
ยังอยู่ขั้นยื่นขออนุมัติโครงการวิจัย
สำหรับโครงการวิจัยที่จะเดินหน้าต่อทั้งในส่วนของผิวหนังและหมอนรองกระดูกสันหลัง กำลังอยู่ในกระบวนการขออนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นชุดที่มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลเรื่อง ATMPs โดยเฉพาะ หากผ่านการรับรองจากคณะกรรมการชุดนี้แล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินโครงการและรับคนไข้เข้าสู่กระบวนการวิจัยได้ในปี 2569
ใช้สเต็มเซลล์ไขมันหน้าท้องฉีดหน้า
การวิจัยเรื่องของผิว ได้ร่วมกับบริษัทเอกชนที่ให้การสนับสนุนทุนวิจัย เข้ามาฝึกอบรมทีมแพทย์ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เกี่ยวกับวิธีการเก็บสเต็มเซลล์จากไขมันหน้าท้องแล้ว เนื่องจากในการวิจัย จะเป็นการนำไขมันจากหน้าท้องของคนไข้มาสกัด เพื่อเอาสเต็มเซลล์ที่อยู่ในนั้นออกมา ก่อนจะนำสเต็มเซลล์ไปผ่านกระบวนการเพิ่มจำนวนเซลล์ให้ได้ประมาณ 50 ล้านเซลล์
เมื่อได้จำนวนที่ต้องการแล้ว ก็นำสเต็มเซลล์กลับมาฉีดเข้าสู่ผิวหนังบริเวณใบหน้าของคนไข้คนเดิม เพื่อศึกษาว่าการฉีดสเต็มเซลล์จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหนังให้ดีขึ้น หรือช่วยในเรื่องของการย้อนวัยให้กับผิวหนังได้หรือไม่ โดยจะมีการถ่ายภาพเปรียบเทียบสภาพผิวก่อนและหลังการรับบริการอย่างชัดเจน
นพ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า โดยหลักการการฉีดสเต็มเซลล์เข้าใบหน้า มีความแตกต่างจากการฉีดโบท็อกซ์ที่เป็นการฉีดเพื่อให้กล้ามเนื้อไม่ทำงานและมีอายุการใช้งานเพียง 3-6 เดือนแล้วแต่ยี่ห้อ ขณะที่การใช้สเต็มเซลล์จะอยู่ได้นานเป็นปี เพราะเป็นการนำเซลล์ของตัวเองมาฉีดกลับเข้าไปเพื่อให้เซลล์ทำหน้าที่สร้างความตึง สร้างความสดใส และสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาฟื้นฟูสภาพผิวทั้งหมด จึงค่อนข้างมีความปลอดภัยเพราะเป็นเซลล์ของตัวเอง คาดว่าจะรับคนไข้เข้าร่วมโครงการราว 50-100 คน
หวังผลไม่ต้องผ่าตัดหมอนรองกระดูก
ส่วนเรื่องหมอนรองกระดูกสันหลัง การวิจัยจะเป็นการฉีดเซลล์ เพื่อลดความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังที่จะต้องมีการผ่าตัด และฟื้นฟูเรื่องเส้นประสาท เมื่อฉีดแล้วจะทำให้หมอนรองกระดูกไม่ทรุดกระทั่งต้องไปผ่าตัด เท่ากับเป็นการฉีดป้องกันให้คนที่มีปัญหาเรื่องหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เป้าหมายหลักมุ่งหวังในการลดปวดแล้วดีขึ้น โดยที่ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการผ่าตัด
กลุ่มเป้าหมายที่จะรับเข้าโครงการจึงเป็นคนที่เริ่มมีอาการแล้ว เช่น มีความปวด ความชา หรือเริ่มมีอาการอ่อนแรง เพราะจะทำให้สามารถวัดผลเปรียบเทียบได้ชัดเจนกว่าคนที่ไม่แสดงอาการเลย ว่าหลังจากฉีดไปแล้วอาการเจ็บปวดลดลงหรือไม่ ช่วยให้ไม่ต้องผ่าตัดได้จริงหรือไม่ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือในรูปแบบนี้ โดยแพทย์จะพิจารณาคนไข้ที่มีความเหมาะสมเข้าร่วมโครงการ ราว 50 คน
“แม้เรื่องนี้จะมีงานวิจัยในต่างประเทศรายงานผลอยู่บ้างแล้ว แต่จำเป็นต้องทำงานวิจัยในประเทศไทย เพื่อให้เห็นผลในคนไทย และใช้ยื่นขึ้นทะเบียนได้ในประเทศไทย”นพ.วีระศักดิ์กล่าว
ประเมินผลตามจริง ไม่เกรงทุนเอกชน
การติดตามและประเมินผลจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน โดยเรื่องผิวหนัง จะมีเกณฑ์วัดที่ชัดเจนทั้งเรื่องความตึง ความละเอียดของผิว รวมถึงริ้วรอยและความหย่อนคล้อยว่าหายไปมากน้อยเพียงใด ส่วนเรื่องหมอนรองกระดูก จะเน้นการติดตามเรื่องระดับความปวดหรือ Pain Score ว่าลดลงหรือไม่ อาการชาหรืออ่อนแรงดีขึ้นหรือไม่ รวมถึงโอกาสในการต้องเข้ารับการผ่าตัดที่ลดลง
ถามย้ำถึงการประเมินผลว่าติดเงื่อนไขของการรับทุนสนับสนุนจากเอกชนหรือไม่ นพ.วีระศักดิ์ ยืนยันว่า ไม่มี โดยโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการวิจัยและสรุปผลการทดลองอย่างตรงไปตรงมา แม้จะมีบริษัทเอกชนเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยทั้งหมด
แต่กระบวนการวัดผลต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่คณะกรรมการจริยธรรมฯกำหนดไว้ โดยไม่มีความลำเอียง ส่วนการนำสรุปผลการวิจัยไปใช้ยื่นขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)เป็นเรื่องของเอกชนที่จะดำเนินการเอง ซึ่งก็จะต้องดูทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลข้างเคียง
“คนไข้ที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ นอกจากความสมัครใจแล้ว จะต้องรับรู้เรื่องการทำหัตถการต่างๆ ทราบถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นซึ่งยังไม่ทราบล่วงหน้า อย่างไรก็ตามโครงการวิจัยจะมีการจัดทำประกันสุขภาพเพื่อครอบคลุมและดูแลรักษาหากเกิดผลข้างเคียงจากการวิจัยในอนาคตด้วย” นพ.วีระศักดิ์กล่าว
อนึ่ง เอ็นเคเซลล์( NK Cell ) หรือ “เซลล์เพชฌฆาตธรรมชาติ” เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกาย พบได้เพียง15%ของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์(Lymphocyte) ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง จึงเป็นด่านแรกของระบบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ (Innate Immune System)







