เปิดคำพิพากษาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด 'ท่านมุ้ย'

เปิดคำพิพากษาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด 'ท่านมุ้ย'

เปิดคำพิพากษา ศาลฎีกาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด“ท่านมุ้ย–ม.จ.ชาตรี เฉลิมยุคล”ถูกบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิทเจ้าหนี้ 22 ล้าน ฟ้องล้มละลาย

จากกรณีที่มีประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา เรื่อง ศาลล้มละลายกลางได้มีพิพากษา เมื่อวันที่ 1 มี.ค.59ให้ ม.จ.ชาตรี เฉลิมยุคล หรือท่านมุ้ย อายุ74ปี ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ลูกหนี้ เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว และศาลได้กําหนดนัดไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผย ณ ศาลล้มละลายกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ ในวันที่ 1 ก.ค.59 เวลา 09.30 น. โดยเจ้าหนี้ที่ได้ยื่นคําขอรับชําระหนี้แล้ว มีสิทธิไปฟ้องการไต่สวนและซักถามลูกหนี้ที่ศาลได้ หรือจะมอบฉันทะเป็นหนังสือให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปแทนก็ได้นั้น

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าว ได้รายงานถึงรายละเอียดคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีหมายเลขแดง 1392/2554ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ม.จ.ชาตรี เฉลิมยุคล เรื่องล้มละลาย

สรุปว่า คดีนี้บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ยื่นฟ้องว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้ ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) จำนวน10,096,068.48บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ16.5ต่อปีของเงินต้น7ล้านบาท ตามมูลหนี้ในคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในคดีหมายเลขแดง21264/2539ซึ่งจำเลยตกลงชำระเงินและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีกับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้เดิม โดยหากผิดนัดยอมให้ยึดทรัพย์ จำนอง ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดด้วย ซึ่งหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เดิมได้นำเจ้าพนักงานเจ้าบังคับคดียึดทรัพย์ จำนอง ออกขายทอดตลาดได้เงิน3,070,000บาท ต่อมาวันที่29มิ.ย.44ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เดิมได้โอนสิทธิเรียกร้องเรื่องนี้ให้กับ บริษัทสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด แล้ว เมื่อวันที่7พ.ค.47บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ได้โอนกิจการและสิทธิเรียกร้องทั้งหมดให้แก่บริษัทโจทก์ โดยคำนวณถึงวันฟ้อง จำเลยจะมีหนี้ค้างชำระต่อโจทก์รวม22,032,463.32บาทซึ่งจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว โจทก์จึงให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

โดยจำเลยให้การว่า การโอนหนี้ระหว่างบริษัทโจทก์ กับบริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ไม่ชอบเนื่องจากการบังคับคดีตามคำพิพากษาเป็นสิทธิเฉพาะตัวของเจ้าหน้าที่บริษัทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และจำเลยมีทรัพย์สิน สิทธิเรียกร้องต่อบุคคลภายนอก มีมูลค่ามากกว่าหนี้ของบริษัทโจทก์ไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว อีกทั้งจำเลยมีธุรกิจรับสร้างภาพยนตร์มีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ให้กับบริษัทโจทก์ได้ กรณีจึงมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย จึงขอให้ยกฟ้อง

ขณะที่ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาวันที่27พ.ย.50พิพากษายกฟ้อง ต่อมาบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิทฯ โจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลฎีกา

ขณะที่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่จำเลยอ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัทจำกัด และบริษัทที่ผลิตภาพยนตร์ แต่ทางนำสืบไม่ได้แสดงให้เห็นว่าบริษัทที่จำเลยถือหุ้นอยู่นั้น มีกำไรขาดทุนหรือหนี้สินอย่างไร และที่จำเลยอ้างว่าบริษัท ที่ผลิตภาพยนตร์นั้นมีสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างผลิตภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค3ยุทธหัตถี ค่าจ้างรวม270ล้านบาทนั้นเห็นว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาระหว่าง บริษัทผลิตภาพยนตร์ กับบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งบริษัทผลิตภาพยนตร์ถือเป็นนิติบุคคลต่างหากต่างจากจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นโดยบริษัทย่อมมีเจ้าหนี้และลูกหนี้ของตัวเอง ดังนั้น สิทธิที่จะเรียกร้องตามสัญญาจ้างสร้างภาพยนตร์ย่อมเป็นสิทธิของบริษัท ไม่ใช่สิทธิของจำเลย

ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาว่าจ้างผลิตภาพยนตร์ระหว่างจำเลย กับนายสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐหรือเสี่ยเจียง จำนวน 30 ล้านบาท ตามสัญญาว่าจ้างผลิตภาพยนตร์นั้นเห็นว่า ตามสัญญาดังกล่าวจำเลยจะได้รับเงินเมื่อดำเนินการครบถ้วนตามสัญญาแล้ว แต่ปรากฏว่างานที่จำเลยได้ทำไปแล้วนั้นเป็นเพียงการค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เขียนบทภาพยนตร์ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ3ล้านบาทเท่านั้นและไม่ปรากฏว่าจำนวนเงินดังกล่าว ผู้ว่าจ้างจะต้องจำระหนี้ให้กับจำเลยอีกเพียงใด

เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ต่างๆที่จำเลยเป็นหนี้ตามคำพิพากษาตั้งแต่ปี2539แล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ กระทั่งเจ้าหนี้เดิมนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ จำนองออกขายทอดตลาด ย่อมแสดงให้เห็นถึงการที่จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาจึงไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ จึงต้องฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และหลังจากที่ได้มีการโอนหนี้ต่อมากระทั่งบริษัทโจทก์ เป็นผู้รับโอนจำเลยก็ไม่ได้ชำระหนี้ในส่วนที่ขาดหรือติดต่อขอประนอมหนี้แต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย

ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์บริษัทโจทก์ฟังขึ้น จึงพิพากษากลับให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14