ปปง.สอบเส้นทางเงิน'ประชา'จ่อยึดทรัพย์

ปปง.สอบเส้นทางเงิน'ประชา'จ่อยึดทรัพย์

เลขาธิการ ปปง.สั่งสถาบันการเงินตรวจสอบทรัพย์สิน“ประชา-อธิลักษณ์”ก่อนเสนอบอร์ดธุรกรรมยึดทรัพย์ ยันมีอำนาจตามยึดทั้งใน-ต่างประเทศ

ผลจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) มูลค่า 6,687,489,000 บาท ที่สั่งจำคุกนายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย และ พล.ต.ต. อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กทม. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมตรวจสอบเส้นทางการเงินและพิจารณาดำเนินการยึดทรัพย์ของผู้กระทำผิดต่อเนื่องทันที

พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวถึงการยึดทรัพย์สินของนายประชา มาลีนนท์ และพล.ต.ต. อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ ว่า ก่อนจะดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงิน ปปง.ต้องขอคัดคำพิพากษาจากศาลฎีกา ว่ามีรายละเอียดและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้อย่างไร และมีคำพิพากษาเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริตหรือไม่ หากมีรายละเอียดชัดเจน จะเสนอให้คณะกรรมการธุรกรรม ปปง.พิจารณา เพื่อมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์ของนายประชาและพล.ต.ต.อธิลักษณ์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ส่วนจำเลยคนอื่นๆ ซึ่งเข้าไปเกี่ยวพันในฐานะอดีตผู้ว่าฯกทม.จะถูกดำเนินการทางทรัพย์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคำพิพากษา หากศาลตัดสินว่าไม่มีความผิดก็คงเข้าไปดำเนินการใดๆ ไม่ได้

เลขาธิการปปง. กล่าวอีกว่า คดีนี้ ตนไม่ทราบว่า ป.ป.ช. ได้ไต่สวนคดีร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ซึ่งจะเข้าข่ายยึดทรัพย์ได้ ตามมาตรา 79 อย่างกรณีคดีนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุข และนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ ป.ป.ช.มีอำนาจดำเนินการยึดทรัพย์ตามกฎหมาย แต่หากเป็นสำนวนคดีอาญาอย่างเดียว ปปง.จะเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินที่มาจากการกระทำผิด

ทั้งนี้ คดีทุจริตมีความยุ่งยาก ที่ไม่ใช่ความผิดในตัวเองอย่างคดีฆ่าคนตาย หรือคดีฉ้อโกงประชาชน แต่คดีทุจริต ต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อน จึงจะดำเนินการได้ ล่าสุดจากนี้ ปปง.ก็จะเร่งประสานกับสถาบันการเงินทุกแห่ง เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินนายประชาและ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ก่อนเสนอเข้าคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณา

ด้าน ร.ต.อ.หญิง สุวนีย์ แสวงผล รองเลขาธิการ ปปง.กล่าวว่า คดีนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เบื้องต้นพบความผิดชัดเจนในพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) ซึ่งไม่ใช่ความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ปปง.จึงไม่มีอำนาจตรวจสอบหรือยึดอายัดทรัพย์ แต่ ปปง.สามารถเข้าไปสนับสนุนการตรวจสอบทรัพย์สินได้ เมื่อได้รับการร้องขอจากป.ป.ช. โดยคดีนี้ ป.ป.ช.สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายยึดทรัพย์ได้ดีกว่า ปปง. เพราะความเสียหายเกิดที่เกิดขึ้นกับชาติจำนวนเท่าไร ป.ป.ช.ก็สามารถยึดทรัพย์ไว้ได้ทั้งหมด ขณะที่กฎหมายฟอกเงินของ ปปง.มีอำนาจยึดได้เพียงทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดเท่านั้น

กทม.ยังใช้รถ-เรือไม่ได้รออนุญาโตฯ

พ.ต.อ.พิชัย เกรียงวัฒนศิริ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(สปภ.)กทม. ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดการกับรถ-เรือดับเพลิง หลังคดีนี้สิ้นสุดว่า กทม.ยังไม่สามารถดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับรถและเรือดับเพลิงที่ส่งมอบมาได้ เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีคำสั่งชี้มูลความผิด ว่ามีการทุจริต จึงไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ และกทม.ก็ไม่ได้เซ็นรับรองรถด้วย จึงไม่สามารถนำออกมาใช้ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ การจะนำรถออกมาใช้ได้หรือไม่ ต้องให้คณะอนุญาโตตุลาการ ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตัดสินคดีความเรื่องนี้ก่อน เพราะมีการต่อสู้ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ขณะนี้อยู่ในชั้นไต่สวนของคณะอนุญาโตตุลาการ ทำให้รถและเรือที่จอดไว้ รวมถึงค่าซ่อม กทม.ยังทำอะไรไม่ได้ โดยจากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด รถที่จอดไว้นั้น ล้อรถเสื่อมสภาพเพราะตากแดดไว้นานหลายปีจนไม่สามารถนำมาใช้การได้ แต่เครื่องยนต์ต่างๆ ยังสามารถใช้การได้อยู่ แต่หากมีการซ่อมแซมคงต้องใช้เงินหลายร้อยล้านบาท

แหล่งข่าวฝ่ายกฎหมาย กทม. กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้อ่านสำนวนคำพิพากษา แต่ได้มีการประสานกับทางพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในการขอคัดสำเนารายละเอียดคำพิพากษา เนื่องจากคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตผู้ว่าฯกทม. ซึ่งทีมกฎหมายของพรรคปชป.จะหารือเรื่องนี้ด้วย เมื่อได้รับสำเนารายละเอียดคำพิพากษาแล้ว จะต้องนำมาศึกษารายละเอียดและแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเสนอต่อชั้นอนุญาโตตุลาการของศาลโลก ซึ่งจะเป็นข้อต่อสู้ที่มีน้ำหนักมากขึ้น ว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ที่มีศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุดของประเทศ ได้พิพากษาว่า อดีต รมช.มหาดไทยและอดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีความผิดทุจริตในโครงการ

2 บริษัทฟ้องกทม.เรียกค่ารักษา

คำพิพากษาข้างต้น จะเป็นการยืนยันต่ออนุญาโตตุลาการว่า มีการทุจริตในโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง กทม.จึงต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามผลการพิจารณาของ ป.ป.ช. ซึ่งคำพิพากษาของศาล จะทำให้คำร้องของกทม.ต่ออนุญาโตตุลาการและการเรียกค่าเสียหาย ที่ไม่สามารถนำรถและเรือดับเพลิงมาใช้ได้จากผู้ถูกกล่าวหามีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากคดีนี้มีความเกี่ยวข้องกันหลายคดีที่ซ้อนกันอยู่ ซึ่งยังมีการฟ้องร้องของบริษัทเอกชน 2 แห่งกับ กทม. คือ บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด ที่ดูแลรถดับเพลิงที่จอดอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนเรือและรถดับเพลิงบางส่วนอยู่ที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ในการดูแลของบริษัท เทพยนต์ จำกัด ในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก กทม.เรียกเก็บค่ารักษารถและเรือดับเพลิง ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

"จริงๆ แล้ว ที่ผู้ว่าฯ กทม.และผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว ไม่สามารถให้รายละเอียดได้นั้น เพราะอนุญาโตตุลาการห้ามให้มีการแถลงข่าวใดๆ ในระหว่างที่กระบวนการพิจารณายังไม่สิ้นสุด เพราะจะกระทบกับบริษัทเอกชนที่เป็นคู่พิพาทกันอยู่" แหล่งข่าวระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ภายหลังที่มีคำพิพากษาคดีรถดับเพลิงของคณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ได้เรียก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักป้องกันและบรรเทาสารธารณภัย (สปภ.) เข้าไปหารือในห้องทำงานที่ศาลาว่าการกทม. เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามขอสัมภาษณ์ พล.ต.อ.อัศวิน รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เย็นวานนี้ ถึงช่วงบ่ายวันนี้ ได้รับการปฏิเสธมาทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าเป็นนโยบายของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่ไม่สามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีได้ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับคดีระหว่างกทม. และบริษัทสไตเออร์ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการ