ย้อนฟัง 'ชัยเกษม'แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย โจทย์สุดท้าย 'ชินวัตร'?

โมเมนตัมการเมืองไทยยังไม่แน่นอนว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จะเป็นใคร จากเกมชิงธงตั้งรัฐบาลของซีก พรรคภูมิใจไทย กับ พรรคเพื่อไทย ภายใต้สมการที่เกี่ยวพันตัวแปรในการตั้งรัฐบาลอยู่ที่ พรรคประชาชน ที่เสนอเงื่อนไขให้นายกฯ คนใหม่ต้องให้สัญญาประชาคมจะยุบสภาฯ ใน 4 เดือนเพื่อเดินหน้าจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ขั้วพรรคภูมิใจไทย เดินเกมไวเสนอชื่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" เป็นนายกรัฐมนตรี 

ส่วนขั้วรัฐบาลเดิม เตรียมเสนอชื่อ ชัยเกษม  ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ คนสุดท้ายของพรรคเพื่อไทย หลัง “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกฯ ด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 

นายกฯ คนที่ 32 จะเป็นใครยังคงต้องจับตาสถานการณ์และการช่วงชิงแต้ม สส. ให้มาอยู่ฝั่งขั้วชนะ โดยก่อนหน้านี้ “ชัยเกษม นิติสิริ” เคยให้สัมภาษณ์พิเศษผ่าน “กรุงเทพธุรกิจ” แม้จะมีปัญหาในเรื่องสุขภาพแต่ล่าสุดเขาย้ำว่า สุขภาพกาย เวลานี้หายดีแล้ว

“ครั้งสุดท้ายไปหาหมอ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หมอบอกว่า คุณนี่ มันโชคดีมหาศาล ผมยังบอกหมอเลย เป็นขนาดนี้ ผมโชคดียังไงหมอ หมอบอกว่าโชคดีสิวะ แบบนักเลง ก็ไอ้ก้อนนั้น (โรคสโตรก) ไปแล้ว แถมมันยังพาลูกไปอีกตัวด้วย เท่ากับผมอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีอะไรเลยตอนนี้ ไม่มีปัญหาเลย การเดินเหินผมก็ไม่มีอาการเป๋ไป เป๋มา ไม่มีหมดทุกอย่าง”

“ฟ้าบันดาล โชควาสนา ก็แล้วแต่ จะคิดยังไง ก็แล้วแต่ แต่สรุปคือ ผมไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพแล้ว”

ส่วนกรณีที่มีภาพออกรอบโชว์วงสวิงตีกอล์ฟนั้น เจ้าตัวเล่าว่า “ผมทำมาอยู่เรื่อยๆ ก็ตอนนี้มันได้แล้วไง หมออนุญาตแล้วเพียงแต่ว่า ถ้าร้อนมากให้เลิกนะ ว่าอย่างนั้น ให้ระวังเรื่องความร้อนไว้ แต่ที่ผ่านมาการตีกอล์ฟ มันจะร้อนมาก เวลาเดินถ้าร้อน ก็มีร่ม เราตีก็มีต้นหมากเพราะนั้นผมไปตั้งหลายรอบแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

รับการเมืองไทยเดายาก

”ชัยเกษม“ ยังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยเวลานี้ว่า “คนไทยที่รักประเทศชาติต้องช่วยกันดู ต้องช่วยกัน เป็นจริงอย่างที่ว่าหรือไม่ หรือความจริงต้องการเพียงแต่ล้มนายกฯ เพื่อตัวเองจะขึ้นมาเป็นใหญ่ พรรคพวกตัวเองจะได้ขึ้นมาทดแทน เพื่อประโยชน์ในทางการเมือง”  

เมื่อถามว่า การเมืองไทยยังไม่ถึงทางตันใช่หรือไม่ กรณี "แพทองธาร" ต้องพ้นตำแหน่งนายกฯ  “ชัยเกษม” ตอบว่า การเมืองเป็นอะไรที่เดายาก แล้วก็เราถือว่าตราบใดที่ยังไม่ยุติ เรายังมีความหวัง จะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

“ถ้าใครบอกจะยุบสภา หรือลาออก ก็ต้องถามเหมือนกัน แล้วเกิดลาออก ถ้าทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ถูกไหม คนที่ทำตัวใหญ่ลาออก คุณถามเขาเลยว่า ถ้าท่านลาออกแล้วทำอะไรต่อ
 

ดีใจถ้าไม่ได้เป็นนายกฯ

ต่อข้อถามว่า หากพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นตัวแปรในทางการเมืองยื่นเงื่อนไข ขอเป็นคนอื่นมาเป็นนายกฯ คนต่อไป “ชัยเกษม” บอกว่า "ให้เป็นตามกลไก แล้วบอกได้เลยว่าในใจก็บอก กูเฮง ฉิบหาย ไม่ถูกเลือกเฮง ฉิบหาย ผมก็ใช้ชีวิตผม ผมอยู่บ้าน ผมมีความสุขไหม ผมมีความสุข ผมไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องปวดหัว เรื่องของชาวบ้านตั้งเยอะแยะ"

"ถ้าบอกว่าในที่สุด ผมไม่ต้องไปเกี่ยวข้องเลย ผมก็ต้องไปไหว้พระ 3 วัด 7 วัด ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายถามจริงๆ ว่า อยากเป็นนายกฯ ไหม โถ...คุณเอ๋ย เอาตัวเข้าไปลำบาก”

ไม่มั่นใจสูตรรัฐบาลเฉพาะกิจ

ส่วนสูตรรัฐบาลเฉพาะกิจของพรรคประชาชนที่อาจโหวตเห็นชอบนายกฯ ของพรรคการเมืองที่มีจุดยืนรับข้อเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ "ชัยเกษม" บอกว่า  "ข้อเสนออย่างนี้ก็ต้องลองดูในรายละเอียดว่า เขาจะแก้รัฐธรรมนูญ จะแก้ตรงไหน มีเหตุสมควรจะแก้ไขหรือไม่ แล้วแก้แล้ว  ทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหรือไม่ ผมคงจะวิพากษ์ไม่ได้ ผมไม่รู้ แก้ว่าอย่างไร คำเดียวก็ทำให้ผิดเพี้ยนแต่แรก อันนี้ต้องอาศัยคนมีความรู้ความสามารถ ต้องเป็นคนปรารถนาดีต่อบ้านเมืองด้วย"

"คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่า รัฐบาลเฉพาะกิจนั้นๆ จะดีกว่ารัฐบาลที่ตั้งตามปกติ เราไม่สามารถมั่นใจได้ เพราะอยู่ที่ตัวบุคคล และไม่ใช่เฉพาะคนที่เข้ามาเป็นรัฐบาล มันอยู่กับความร่วมมือของคนที่เกี่ยวข้องด้วย ถ้าไปคิดอย่างนั้น ไม่จบอ่ะ

ย้ำร่างกายฟิตเป็นนายกฯ  พรุ่งนี้ได้

ส่วนโอกาสทางการเมือง หากสถานการณ์บังคับต้องขยับเข้าไปทำหน้าที่นายกฯ "ชัยเกษม ระบุว่า “ผมไม่เคย มีความไม่พร้อมแต่เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเขาเห็นว่ามีใครเหมาะสม แค่ไหน ส่วนสภาพร่างกาย ผมไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ให้เป็นวันนี้ พรุ่งนี้ ก็เป็นได้”

“เปลี่ยนผมเมื่อไร ปลดผมเมื่อไร ไม่ว่าเลยด้วยนะ ไม่ได้โกรธด้วยนะ แต่ว่าจะโปรโมตผมไปทำอะไร ก็ทำได้ ไม่มีปัญหา"

เมื่อถามย้ำว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่รับข้อเสนอพรรคเพื่อไทย แต่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีแทน ชัยเกษม ระบุว่า"ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลขอก็ดี ผมกลัวว่า ฮึ่มๆ แล้วบอกว่า กูจะเป็นละโว้ย แล้วคุณจะทำยังไง อย่าไปคิดอะไรล่วงหน้าเลย อะไรเกิดขึ้นก็ค่อยๆ แก้ถ้าคุณไปพูดอย่างนี้ บอก พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยิน ใครบอกว่ากูจะเข้าไปแย่งไปแข่ง”

ส่วนข้อสังเกตที่ว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทยแทบทุกราย ที่สุด มักพ้นตำแหน่งด้วยศาลรัฐธรรมนูญ ชัยเกษม มองว่า “การแข่งขันกันในทางการเมือง ระหว่างพรรคการเมืองที่ต่างกัน ถ้าเขามีโอกาสที่จะคว่ำฝ่ายหนึ่งได้ การเมืองไม่มีจะให้สิทธิใครเป็นพิเศษ ก็ว่าไปตามกติกา ขอให้สิ่งที่ดำเนินการเป็นไปตามข้อเท็จจริงเท่านั้น เป็นใช้ได้ ผมเองผมไม่กังวลเลย ผมเลิกเล่นการเมือง ผมก็อยู่บ้านผม อยู่กับภรรยา อยู่กับลูก อยู่กับหลาน ก็มีความสุขดี ไม่มีปัญหาอะไร”

ปัดช่วยเหลือ "ทักษิณ" ตระกูลชินวัตร

“ชัยเกษม” ตอบคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอดีตนายกฯตระกูลชินวัตร ทั้ง ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งถูกมองว่ามีดีลอะไรหรือไม่

"ที่จะช่วยเหลืออะไรพิเศษ ไม่มี ท่านก็ไม่ได้ช่วยผม ผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรท่านเป็นพิเศษ เป็นเพียงคนชอบพอกัน แล้วก็เวลาจะพูดจาหรือคุยเรื่องอะไรกัน ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาให้กัน และกันได้”

ไม่รับใบสั่ง ขออำนาจตัดสินใจเอง

ขณะที่ข้อวิจารณ์ ซึ่งเป็นข้อกังวลว่า หากเขาขึ้นมารับไม้ต่อจากนายกฯ แพทองธาร ก็อาจจะเป็นนายกฯ ที่ต้องทำตามใบสั่ง 

“ผมไม่รู้ว่า ที่บอกว่าใครสั่ง คือใคร ใครที่จะมาสั่งผม แล้วลำบาก ผมมีวุฒิภาวะ มีประสบการณ์ในชีวิตเป็นอัยการสูงสุดมานาน การตัดสินใจของผม มีประสบการณ์ และชี้แจงได้ในทุกเรื่องที่ตัดสินใจ ถ้าผมไปฟังใครมา จะต้องอย่างนี้แล้ว ไม่ได้ มันต้องศึกษา ดูแล้วให้เกิดความชัดเจน ว่าจริงหรือไม่ เพราะว่าเรื่องของบ้านเมืองนั้น การตัดสินใจแต่ละอย่าง มันกระทบหลายอย่างมาก ทำอะไรกระทบต่อบ้านเมือง ต้องคิดให้หนัก” ชัยเกษม ยืนยัน 

“ชัยเกษม” ยังย้ำหากสถานการณ์พาให้เขาต้องขึ้นไปสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของรัฐบาล ก็ต้องมีอำนาจการตัดสินใจอย่างแท้จริง

 “อำนาจในการตัดสินใจ แม้มี แล้วผมไปฟังใครมา จะต้องอย่างนี้แล้ว ไม่ได้ มันต้องศึกษา ดูแล้วให้เกิดความชัดเจนว่า จริงไหม เพราะว่าเรื่องของบ้านเมืองนั้น การตัดสินใจ แต่ละอย่างมันกระทบ หลายอย่างมาก ดังนั้น คนที่ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ใช่เป็นผม ใครก็แล้วแต่ ทำอะไรกระทบต่อบ้านเมือง ต้องคิดให้หนัก”

“ถ้าให้เป็นนายกฯ เนื่องจากผมมีประสบการณ์ ผมเห็นอะไรมาเยอะ ผมก็ยังคิดว่า ในบางสถานการณ์นั้น ผมคิดว่าผมจะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองนั้นได้ดีกว่า คนที่ทำอยู่อย่างที่ผ่านมา”

ส่วนนายกฯ คนใหม่จะเป็น "ชัยเกษม" หรือไม่  จำเป็นอย่างยิ่งที่ "พรรคเพื่อไทย" จะต้องได้เร่งหาเสียงสนับสนุนให้ได้เกิน 246 เสียงจากที่ประชุมสภาฯ หากขยับช้าไปกว่านี้ก็สุ่มเสี่ยงเกิดการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลได้ทุกเมื่อ