จับตากระแส 'รักทหาร' ดับฝันรัฐบาลพรรคสีส้ม?

จับตากระแส 'รักทหาร' ดับฝันรัฐบาลพรรคสีส้ม?

ฝันที่ใครต่างให้น้ำหนักว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าจะโดยอุบัติเหตุทางการเมือง หรือรัฐบาลอยู่ครบเทอม พรรคที่จะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับ 1 แถมอาจได้ที่นั่งสส.เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร? คือพรรคประชาชน หรือ “พรรคสีส้ม” นั่นเอง แต่ถ้าจับตากระแสที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ชักไม่แน่เสียแล้ว

ไม่แน่เพราะ แทนที่กระแสนิยมพรรคสีส้มจะพุ่งกระฉุด รองรับกรณีรัฐบาลเจอฤทธิ์เดช “ฮุน เซ็น” จนทำอะไรขัดใจคนไทยไปหมด ทั้งก่อนสู้รบ ระหว่างสู้รบ จนมาถึง “หยุดยิง” ที่ยังไม่นิ่ง (เพราะมีเรื่องทหารเหยียบกับระเบิดอย่างต่อเนื่อง) แต่คนของพรรคส้ม ตั้งแต่ระดับหัวหน้าพรรคลงมา ดันไปแสดงท่าที “สวนกระแส” คนไทย เพราะติดกับดัก “ไม่เอาทหาร” ต่อต้าน “กองทัพ” นั่นเอง

จริงหรือไม่ มาดูผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เรื่อง ‘สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี’ เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 โดยเมื่อถามถึง

ความไว้วางใจต่อภาคส่วนต่างๆ ว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้ จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า 

กองทัพ

  • ร้อยละ 75.73 ระบุว่า ไว้วางใจมาก
  • ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ
  • ร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ
  • ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย
  • ร้อยละ 0.23 ระบุ ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

น่าสังเกต ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 3.66 และไม่ไว้วางใจเลย ร้อยละ 0.23 บวกกันอาจเป็นคะแนนนิยมของพรรคส้ม?

กระทรวงการต่างประเทศ

  • ร้อยละ 41.76 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย
  • ร้อยละ 33.28 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ
  • ร้อยละ 19.23 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ
  • ร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไว้วางใจมาก
  • ร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

รัฐบาลไทย

  • ร้อยละ 54.58 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย
  • ร้อยละ 29.01 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ
  • ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ
  • ร้อยละ 4.66 ระบุว่า ไว้วางใจมาก
  • ร้อยละ 0.30 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

ความพอใจต่อบทบาทภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า

กองทัพ

  • ร้อยละ 75.42 ระบุว่า พอใจมาก
  • ร้อยละ 19.85 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ
  • ร้อยละ 3.36 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ
  • ร้อยละ 1.22 ระบุว่า ไม่พอใจเลย
  • ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

กระทรวงการต่างประเทศ

  • ร้อยละ 40.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย
  • ร้อยละ 33.66 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ
  • ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ
  • ร้อยละ 4.81 ระบุว่า พอใจมาก
  • ร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

รัฐบาลไทย

  • ร้อยละ 54.43 ระบุว่า ไม่พอใจเลย
  • ร้อยละ 27.40 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ
  • ร้อยละ 13.75 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ
  • ร้อยละ 4.27 ระบุว่า พอใจมาก
  • ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

ความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า

  • ร้อยละ 41.98 ระบุว่า เปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายอย่างจริงจัง
  • ร้อยละ 27.63 ระบุว่า กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้าส่งออกในทุกกรณี
  • ร้อยละ 27.10 ระบุว่า เปลี่ยนรัฐบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
  • ร้อยละ 23.97 ระบุว่า เพิ่มกำลังทางทหารชายแดน เพื่อป้องกันประเทศ
  • ร้อยละ 21.30 ระบุว่า กดดัน ฟ้องร้องและประณามกัมพูชาผ่านกลไกระหว่างประเทศ
  • ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไปต่อแบบไหนก็ได้ แต่ต้องไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบให้กัมพูชา
  • ร้อยละ 19.62 ระบุว่า ให้มีประเทศที่สามเป็นตัวกลางในการเจรจาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
  • ร้อยละ 16.49 ระบุว่า รบต่อจนกว่าจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ
  • ร้อยละ 11.15 ระบุว่า ไปต่อแบบไหนก็ได้ แต่ขอเพียงแค่ไม่มีการสู้รบกัน
  • ร้อยละ 5.19 ระบุ ใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ศาลโลก) ตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา
  • ร้อยละ 2.90 ระบุ เปิดด่านทั้งหมดเพื่อให้เศรษฐกิจชายแดนเข้าสู่ภาวะปกติ
  • ร้อยละ 2.67 ระบุ แทรกแซงการเมืองภายในประเทศกัมพูชาเพื่อล้มอำนาจ ฮุน เซน และรัฐบาล ฮุน มาเนต
  • ร้อยละ 2.21 ระบุ สนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันอย่างเต็มที่ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
  • ร้อยละ 0.31 ระบุไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

ความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิบัติของโรงพยาบาลในการรับผู้ป่วยชาวกัมพูชา เพื่อการรักษาพยาบาล พบว่า

  • ร้อยละ 51.37 ระบุว่า ไม่ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยและขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล
  • ร้อยละ 35.81 ระบุว่า ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยเท่านั้น
  • ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในไทยหรือขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล
  • ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

หลังมีคลิปหลุดสนทนาระหว่าง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กับ ฮุนเซ็น ออกมา(13 ก.ค.68) “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ก็เคยเปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “การเมืองไทย ไปต่อแบบไหนดี” เช่นกัน จากการสำรวจเมื่อถามถึง

ความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน พบว่า

  • ร้อยละ 42.37 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ควรประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อหานายกฯ คนใหม่
  • ร้อยละ 39.92 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ควรยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป
  • ร้อยละ 15.04 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ควรบริหารประเทศต่อไปเหมือนเดิม
  • ร้อยละ 1.37 ระบุว่า เรียกร้องให้มีการรัฐประหาร
  • ร้อยละ 0.99 ระบุว่า อย่างไรก็ได้
  • ร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ตอบ

 

บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปตามรายชื่อผู้มีสิทธิเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเผชิญกับปัญหาทางการเมือง พบว่า

  • ร้อยละ 32.82 ระบุว่า เป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี -แต่เป็นแคนดิเดตจากพรรครวมไทยสร้างชาติ)
  • ร้อยละ 27.94 ระบุว่า ไม่สนับสนุนใครเลยตามรายชื่อผู้มีสิทธิเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ
  • ร้อยละ 11.53 ระบุว่า เป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย)
  • ร้อยละ 10.92 ระบุว่า เป็น นายชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย)
  • ร้อยละ 9.77 ระบุว่า ใครก็ได้ตามรายชื่อผู้มีสิทธิเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ
  • ร้อยละ 3.82 ระบุว่า เป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ)
  • ร้อยละ 1.83 ระบุว่า เป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์)
  • ร้อยละ 0.84 ระบุว่า เป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ)
  • ร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

การที่พรรคประชาชนควรร่วมลงชื่อกับพรรคฝ่ายค้านเพื่อขอเปิดอภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและ/หรือรัฐมนตรี จากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่า

  • ร้อยละ 64.43 ระบุว่า ควรลงชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ/หรือ รัฐมนตรี
  • ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่ควรลงชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ/หรือ รัฐมนตรี
  • ร้อยละ 7.48 ระบุว่า อย่างไรก็ได้
  • ร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่ตอบ

 

จากผลสำรวจข้างต้น สะท้อนให้เห็นอารมณ์ของคนไทยอย่างชัดเจนว่า “สวิง” มาฝั่ง “กองทัพ” ค่อนข้างมาก และแม้แต่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยมีกระแส “เบื่อ” มาก่อน ยังมีกระแสหนุนกลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” ซึ่ง สัญลักษณ์ของ “ลุงตู่” ก็คือ หัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่เป็นคู่ปรับคนสำคัญของพรรคประชาชน

ที่สำคัญ “กระแสรักทหาร” แบบสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างนี้ มันเสียดแทงหัวใจพรรคส้มเข้าอย่างจัง

ด้านพรรคส้ม หลังเกิดความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และตามมาด้วยกรณี “คลิปหลุด” ระหว่าง “นายกฯอิ๊งค์” กับฮุนเซน จนรัฐบาลให้อำนาจ “กองทัพ” ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ

 เรื่องนี้ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน และในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ออกมาจี้รัฐบาลให้ทบทวนทันควัน(28 มิ.ย.68)

โดยโพสต์เฟซบุ๊ก ที่มีสาระสำคัญตอนหนึ่งระบุว่า “สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่ท่านนายกฯ ได้มอบอำนาจในการควบคุมจุดผ่านแดนหรือด่านชายแดนไทย-กัมพูชาให้แก่กองทัพ

 ผมเห็นว่า การที่รัฐบาลปล่อยให้กองทัพมีอำนาจตัดสินใจออกมาตรการควบคุมชายแดนไทย-กัมพูชาได้โดยลำพังนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะผิดหลักการประชาธิปไตยที่กองทัพต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน...”

แม้ “เท้ง” ณัฐพงษ์ จะให้เหตุผลมากมาย ตามหลักการปกครองประเทศ แต่การสวนกระแสคนไทย ซึ่งกำลังชื่นชมทหาร ให้กำลังใจทหาร สนับสนุนทหารในการต่อสู้กับทหารกัมพูชา ถือว่ายึดอุดมการณ์ “ไม่เอาทหาร” โดยไม่เลือกสถานการณ์ และเท่ากับ “ฆ่าตัวตาย” ทางการเมือง

ยิ่งกรณี นายสหัสวัต คุ้มคง ส.ส.ชลบุรี พรรคส้ม ออกมาโพสต์ข้อความ ด่ากองทัพ ‘ส้น...’ ทั้งยังแสดงความเห็นว่า อย่าเชื่อทุกอย่างที่ออกมาจาก ‘กองทัพ’ จนถูกโจมตีเละเป็นโจ๊ก ซึ่งได้ลบโพสต์ทิ้งในเวลาต่อมา ยิ่งเผยธาตุแท้ เอาแต่ผลประโยชน์ตัวเอง

 หลายคนไม่เข้าใจว่า พรรคส้มเป็นฝ่ายค้านที่ต้องค้านรัฐบาล หรือ ค้านกองทัพกันแน่?

เท่านั้นไม่พอ ท่ามกลางกระแสคนไทยกำลังคุกรุ่นอยู่กับความไม่พอใจ “กัมพูชา” และฮุนเซน ที่ยิงจรวดระยะไกลใส่เป้าหมายพลเรือน เช่น บ้านเรือน ปั้มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ หรือแม้แต่โรงพยาบาล ทำให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคน

แต่ปรากฏว่า เพจเฟซบุ๊ก พรรคประชาชน โชว์หล่อกอดหลักมนุษยธรรม โดยไม่สนใจว่า เกิดอะไรขึ้นจากการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา

โดยโพสต์ข้อความ(31 ก.ค.68) ถึงกรณีที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ออกหนังสือประกาศเรื่องการยกเลิกปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้สื่อสารชาวกัมพูชา และการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา โดยมีรายละเอียด คือ

 1. ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารชาวกัมพูชา และจิตอาสาต่างประเทศ 2. ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว 3. ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา 4. ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ให้จำกัดพื้นที่ให้ชัดเจน มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม ถึง 10 สิงหาคม 2568

พรรคส้ม โพสต์สวนทันควัน ประเทศไทยจะสามารถหยัดยืนในเวทีนานาชาติได้อย่างภาคภูมิใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงสถานการณ์การใช้กำลังปะทะกันระหว่างประเทศนั้น ก็ด้วยการยึดมั่นหลักมนุษยธรรมและหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นหลักประกันว่า ประเทศไทยจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีระหว่างประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุสัญญาเจนีวา 4 ฉบับ ลงวันที่ 12 สิงหาคม 2492 โดยประเทศไทยได้ลงนามเมื่อปี 2497 ว่าด้วยกฎการทำสงครามและหลักสิทธิมนุษยชนในยามสงคราม โดยเฉพาะ ภาค 2 ข้อ 12 “ผู้สังกัดในกองทัพและบุคคลอื่นที่จะได้กล่าวถึงในข้อต่อไปนี้ ซึ่งบาดเจ็บหรือป่วยไข้ จะต้องได้รับความเคารพและคุ้มครองในทุกพฤติการณ์ บุคคลเหล่านี้ จะต้องได้รับการปฏิบัติและรักษาพยาบาลด้วยมนุษยธรรมโดยคู่พิพาทซึ่งตนตกอยู่ในอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงลักษณะความแตกต่างอันเป็นผลเสื่อมเสียเนื่องมาแต่เพศ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง หรือเหตุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน…”

การเลือกปฏิบัติของโรงพยาบาลในการรักษาผู้ป่วย ถือว่า ขัดต่อหลัก International Humanitarian Law จะทำให้ประเทศไทยเสียหายมากในเวทีโลก และเสี่ยงต่อการถูกกัมพูชานำไปขยายผลในเวทีระหว่างประเทศ...

 หลายคนตั้งคำถามว่า ทหารไทยเสียชีวิต บาดเจ็บ ประชาชนล้มตาย กัมพูชาโจมตีไม่เลือกเป้าหมาย พรรคส้มนิ่งเฉย ไม่ออกมาแสดงท่าทีเจ็บร้อน เหมือนอยู่คนละประเทศ ผิดกับกรณีนี้?

ทำเอา “ทัวร์ลง” ในโลกโซเชียลอย่างหนัก แถมถูกรื้อฟื้นคำพูดผู้นำจิตวิญญาณของพรรค อย่าง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่เคยปั้นวาทกรรมตั้งคำถาม “ทหาร มีไว้ทำไม” มาประจานถึงความไร้เดียงสา ที่มาปรากฏให้เห็นตอนนี้

เหนืออื่นใด ท่ามกลางเสียงเรียกร้อง “ยุบสภา” โดยเฉพาะเสียงที่ดังที่สุดก็คือ พรรคส้ม เพราะเชื่อมั่นในกระแสนิยมสูง แต่ทว่า ท่าทีการแสดงออกต่อปัญหาสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา พรรคส้มกลับสวนกระแสคนไทยอย่างอวดกล้าท้าทาย จนน่าจับตามองว่า ฝันที่จะได้รับเลือกตั้งมาอันดับ 1 และ “ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะยังฝันหวานต่อไป หรือฝันค้างกลางเวหา ก็ไม่แน่เหมือนกัน?