'เพื่อไทย'มั่นใจคอมแพล็กซ์โปร่งใส - คาดเพิ่มรายได้ 2.3 แสนล้าน

นาย พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยในงานเสวนา เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่พรรคเพื่อไทยโดยผู้เข้าร่วมเป็น สก. และตัวแทนภาคประชาชนในกรุงเทพ โดยกล่าวว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ขณะนี้อยู่ในสภาวะทรงตัว ถึงแม้ว่าภาครัฐและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันเร่งผลักดันรวมถึงออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การเติบโตนั้นยังคงมีความจำกัด ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวได้เล็กน้อย 

เนื่องด้วยพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันประเทศต่างๆในเอเชียมีแหล่งการท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่าประเทศไทย ทั้งนี้การลงทุนของภาครัฐและเอกชนจึงมีความสำคัญอย่างมากที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของให้เทศไทยให้สูงขึ้น โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทุกภาคส่วนเป็นหลัก และที่สำคัญคือประชาชนต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นายพงศ์กวิน กล่าวต่อว่า ดังนั้นรัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยจะส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นใหม่ล่าสุดของเอเชีย เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า และ สถานบันเทิงครบวงจรเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภาคการบริโภคในประเทศ 
 

โดยในส่วนของสถานบันเทิงครบวงจร จะเป็นสร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยใด้ในระดับสูง ซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวรวมถึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนั้นยังเป็นแนวทางสำคัญที่จะยกระดับในการพัฒนาศักนภาพของประเทศในหลากหลายมิติ เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ เสริมการท่องเที่ยว การสร้างงาน ซึ่งมีหลายประเทศที่ดำเนินการพัฒนาและประสบความสำเร็จอย่างสูง ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายประเทศที่เตรียมที่จะพัฒนาเพื่อต้องการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน 

ทั้งนี้สถานบันเทิงครบวงจรจะเป็นสถานที่ ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม(ระดับ6ดาว) สวนสนุก สนามกีฬา ร้านอาหารไนต์คลับ ผับหรือบาร์ สถานที่จัดงานประชุม พื้นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย สวนน้ำ ยอร์ชและครูซซิ่งคลับ กาซิโน และ อื่นๆ  ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่นั้นจะเป็นการออกแบบพื้นที่เศรษฐกิจใหม่เพื่อประเทศไทยที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน

นายพงศ์กวิน กล่าวอีกว่า กรณีการดำเนินการกิจกาสิโน ในพื้นที่สถานบันเทิงครบวงจรนั้น จะใช้พื้นที่เพียง 10% จากพื้นที่ทั้งหมด ขอย้ำว่า การดำเนินการนั้นจะมีมาตรการกำกับดูแลที่รัดกุมและเข้มงวด รวมถึงมีความโปร่งใสทุกกระบวนการ ขณะเดียวกันจะต้องบริหารโดยบริษัทที่มีประสบการณ์ มีผลงานที่ประสบความสำเร็จมาแล้วและได้มาตรฐานการจัดการที่ดีตามหลักสากล 

ส่วนรายได้ที่มาจากกาสิโน เช่น ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ภาษีการเล่นพนัน จะนำมาฟื้นฟูเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบรวมถึงพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่และบริเวณอื่นๆ อย่างไรก็ตามการใช้บริการกาสิโน จะจำกัดคุณสมบัติของผู้เข้าใช้บริการ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง 

"เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นเครื่องจักรในการขับเคลื่อนประเทศ สนบัสนุนภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สิ่งที่จะตามมาคือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และยังสร้างรายได้มหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นโดยรัฐ เพื่อนะไปพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยทุกกลุ่ม และที่สำคัญคือการจ้างงานจำนวนมากทั้งในระดับชุมชนไปจนถึงระดับประเทศ" นายพงศ์กวิน กล่าว 

นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เผยถึงด้าน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... รูปแบบการดำเนินการนั้นมีดังนี้ 1. ผู้รับใบอนุญาตต้องเป็นบริษัทหรือบริษัทมหาชนซึ่งจดทะเบียนในไทยและมีทุนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท 2. ระยะเวลา 30 ปี และต่ออายุได้คราวละไม่เกิน 10 ปี 3. สำหรับการเข้าใช้บริการ กาสิโน มี Negative List โดยห้ามบุคคลต่างๆเข้า 4. สถานที่ตั้งและจำนวนใบอนุญาต เป็นไปตามที่กำหนดใน พ.ร.ฎ. 

5.สัดส่วนพื้นที่ของกาสิโน ในเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และสัดส่วนของพนักงานึนไทยและต่างด้าวถูกกำหนดโดย คกก. นโยบายฯ 6.ห้ามมิให้มีการพนันออนไลน์(ห้ามเชื่อมต่อระบบเพื่อให้บุคคลที่อยู่ภายนอกกาสิโนเข้าเล่น) 7. ห้ามเชิญชวน โฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเกี่ยวกับกาสิโน เว้ยแต่จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่ คกก. บริหาร ประกาศกำหนด 

และ 8. สำนักงานฯ เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคล และไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ , ต้องทำหน้าที่ป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบด้วย , มีรายได้จากเงินอุดหนุน ค่าธรรมเนียมต่างๆ ค่าเข้าของคนไทย โดยเมื่อหีกค่าใช้จ่ายแล้วให้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน 

ขณะเดียวกันการลงทุนด้านสถานบันเทิงครบวงจร จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศไทยได้หลายมิติ โดยในด้านของการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจะเกิดการลงทุนจริงไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันรายได้จากการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีก 1.19 แสนล้านบาท ถึง 2.38 แสนล้านบาท  ส่วนด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว คาดเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ประมาณ 10%ต่อปี และยังเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มอีกราว 13% ในช่วง Low Season โดยประเมินค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 66,043 บาทต่อคนต่อทริป  

อีกทั้งยังเป็นการสร้างงาน หรือมีการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะเกิดการจ้างงานอย่างน้อย 15,300 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการพัฒนาศักยภาพแรงงานในประเทศและการจ้างงานจากธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่วนในด้านของการเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐนั้น คาดว่าจะสร้างได้ให้รัฐประมาณ 12,037-39,427 ล้านบาท ต่อปี โดยจะมาจากรายได้ภาษีของผู้ดำเนินกิจการ ซึ่งรายได้รัฐที่เพิ่มมานั้นจะใช้พัฒนาประเทศต่อไป โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการศึกษา ระบบดูแลสังคม และสาธารณประโยชน์ต่างๆของพี่น้องประชาชน

นายศึกษิษฏ์ เผยต่อว่า สำหรับ "สถานบันเทิงครบวงจร" ประเทศเพื่อนบ้านได้พิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน อย่าง เวียดนาม สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.8 แสนล้านบาทต่อปี สิงคโปร์ สร้างรายได้เข้าประเทศ 4.3 แสนล้านบาทต่อปี อินโดนีเซีย สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.4 แสนล้านบาทต่อปี ฟิลิปปินส์ สร้างรายได้เข้าประเทศ 2.2 แสนล้านบาทต่อปี มาเก๊า สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี เกาหลีใต้ สร้างรายได้เข้าประเทศ 3.2 แสนล้านบาทต่อปี และกลุ่มประเทศ UAE เตรียมเปิดโครงการ รวมถึงญี่ปุ่น ที่เตรียมกำลังจะเปิดเช่นกันในปี 2030

ดังนั้นแน่นอนว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่เข้าประเทศนั้นมีผลเชิงบวกอย่างมากต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ยกตัวอย่างกรณีศึกษา ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ สนับสนุน GDP เป็น 1-2% การลงทุนจากต่างประเทศ 3 แสนล้านบาท ขณะที่รายได้ภาษีเพิ่มขึ้น 4.4 แสนล้านบาท เติบโต 47% ในจำนวนท่องเที่ยว และที่สำคัญการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 20,000 ตำแหน่ง