แกว่งตัวตามรายงานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการ ระวังขยายล็อคดาวน์

แกว่งตัวตามรายงานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการ ระวังขยายล็อคดาวน์

การฟื้นตัวในครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นความแตกต่าง

คงมุมมองหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่ด้อยกว่าภาพรวมโลก สหรัฐฯเปิดเผยประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับ GDP ไตรมาส 2/64 ที่ 6.5% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 8.5% แต่กลายเป็นปัจจัยบวกเนื่องจากตลาดมองการฟื้นตัวที่ไม่แรงเกินไปลดแรงกดดันจากการเร่งให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงทิศทางดำเนินนโยบายการเงินจากผ่อนคลายมากสู่นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตามบรรยากาศลงทุนช่วงท้ายตลาดมีแรงถ่วงจากการรายงานผลประกอบการของ Amazon ซึ่งกำไรออกมาดีกว่าคาด แต่ให้มุมมองผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 จะชะลอลงเนื่องจากสถานการณ์ระบาดที่ดีขึ้น จะทำให้คนลดการพึ่งพาการซื้อสินค้าออนไลน์ สถานการณ์ดังกล่าวยืนยันภาพการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามมุมมองของเราและ IMF ที่ประเมินประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วและที่ได้รับวัคซีนในสัดส่วนที่สูงจะเริ่มฟื้นตัวกลับสู่ภาวะใกล้ปกติ ขณะที่ตลาดเกิดใหม่และเอเชีย (โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จะยังเผชิญปัญหารระบาดและผลกระทบจาการตรการควบคุมการระบาดที่ให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ช้ากว่า สำหรับเศรษฐกิจไทย ล่าสุดสศค.ปรับลด GDP เหลือ 1.3% จากผลกระทบโควิด ที่กระทบต่อการฟื้นตัวของการบริโภคและเปิดประเทศ แต่ยังคงมอง GDP ไม่ติดลบจากอานิสงค์ของการส่งออกที่คาดว่าจะโต 16.6%

ช่วงสั้นระวังแรงกระเพื่อมเนื่องจากการประกาศขยายเวลาล็อคดาวน์ กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอล็อคดาวน์ 1-2 เดือน ตามข้อศึกษาและผลสรุปของกองระบาดวิทยา (ซึ่งเราได้พูดรายละเอียดไปในรายงานกลยุทธ์ช่วงเช้าเมื่อวานนี้) เพื่อคุมการเสียชีวิตให้ลงจากคาดการณ์ที่ราว 500 ราย/วัน เหลือไม่เกิน 200 ราย/วัน ทำให้เราประเมินการประชุมศบค.วันนี้ อาจมีการขยายเวลาล็อคดาวน์ไปจนสิ้นก.ย. (สอดคล้องกับช่วงเวลาของการขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปจนสิ้นก.ย. ที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้ว) ข้อศึกษาบ่งชี้สถานการณ์ระบาดและความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์ จะยังเป็นปัจจัยบวกต่อการเก็งกำไรในกลุ่มการแพทย์ (เน้นหุ้นเล็ก ที่ไม่ใช่ BCH และ CHG ที่ Valuation สูงมากแล้ว) และกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ SMD, WINMED, TM, BIZ

กลุ่มสื่อสารและ REITs มีโอกาสเป็นแหล่งพักเงินที่ดี นับจากสถานการณ์โควิดปลายมิ.ย.63 กลุ่มที่เคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดมากที่สุด 2 กลุ่ม คือ สื่อสารและกองรีทส์ ทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้มีการถือครองโดยนักลงทุนสถาบันและทั่วไปในระดับต่ำ (under-owned) ส่งผลให้ความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรต่ำ และเริ่มประเมินมีโอกาสเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART / เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT / ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW / กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC / เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL / เก็งกำไรกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ SMD, TM, WINMED, BIZ / เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC

ภาพรวมกลยุทธ์: ผันผวนทางลงและเคลื่อนไหวด้อยกว่าตลาดโลกจากความเสี่ยงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ยังประเมินฟื้นตัวไม่เกิน 1,565 จุด ใช้จังหวะดีดตัวในการขายเพิ่มการถือเงินสด และยังเน้นเพียง เลือกเก็งกำไรรายตัวระหว่างรอจุดซื้อที่ดี  // หุ้นแนะนำ: KEX*, STARK*, SMD*, FTREIT*

แนวรับ: 1,520-1,535/ แนวต้าน : 1,550-1,563 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน

PTTEP - รายงานกำไรไตรมาส 2/64 ที่ 7.1 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด 11% และ 25% ตามลำดับ เนื่องจากมีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยงที่สูงกว่าคาด หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรปกติที่ 11.2 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับที่เราประมาณการ และคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 31% QoQ คงคำแนะนำทางพื้นฐานที่ซื้อ และราคาเหมาะสมที่ 140 บาท

TOP - เข้าลงทุนใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ผู้ผลิตโอเลฟินส์รายใหญ่ในอินโดนีเซีย ผ่านการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ถือหุ้น 15.38% ทั้งนี้เงินทุนจะมาจาก 1) เงินจากการขายหุ้น GPSC ให้ PTT จำนวน 2 หมื่นล้าน 2) เพิ่มทุน 1 หมื่นล้านบาท (อาจเป็น RO/PP) 3) เงินกู้จากธนาคาร เรามองดีลนี้เป็นบวกต่อ TOP และมองราคาหุ้นที่อาจจะปรับลงจากการเพิ่มทุน จะเป็นโอกาสในการทยอยซื้อ (ราคาเหมาะสม 57 บาท)

DTAC ระวังการไล่ราคาจากข่าว Telenor อาจขายกิจการ - เรามองว่าการขายธุรกิจในพม่า เกิดจากถูกแทรกแซงและขอให้ช่วยเซนเซอร์ข้อมูลอ่อนไหวของผู้ใช้บริการ ซึ่งน่าจะขัดกับจุดยืนของทาง Telenor ซึ่งเป็นประเด็นเฉพาะตัว และไม่น่าจะเกี่ยวกับการที่ Telenor จะลดการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หุ้นกลุ่มโบรคเกอร์ – เพิ่มความระมัดระวังในการเก็งกำไรเนื่องจาก 1) จำนวนนักลงทุนเปิดบัญชีใหม่เริ่มชะลอลง 2) ประมาณการซื้อขายไตรมาส 2/64 ทรงตัวถึงลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 1/64 แต่คาดจะลดลงในช่วงไตรมาส 3/64

ประเด็นติดตาม: -  2 ส.ค. – US Manufacturing PMI เดือน ก.ค., 4 ส.ค. ประชุม กนง.

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)