'กูรู'แนะจัดพอร์ตลงทุนครึ่งปีหลัง64 ฝ่าวิกฤติโควิด รับผลตอบแทนดี

'กูรู'แนะจัดพอร์ตลงทุนครึ่งปีหลัง64 ฝ่าวิกฤติโควิด รับผลตอบแทนดี

กูรู แนะจัดพอร์ตลงทุนครึ่งปีหลัง64 บล.บัวหลวง ชี้ หุ้นไทยร่วงเป็นจังหวะซื้อ ลุ้นปี65ดัชนีพุ่ง1,784 จุด ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นไทยมากกว่า50% บลน. ยูเนี่ยนเว็ลธ์แนะกระจายการลงทุน บลจ.ยูโอบี มองประเทศพัฒนาแล้วน่าสนใจลงทุนกว่าตลาดเกิดใหม่ หากคุมโควิดไม่ได้

 นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล. บัวหลวง กล่าวว่า การลงทุนในครึ่งปีหลัง2564 ประเด็นที่จะต้องติดตามเรื่องเฟดว่าจะส่งสัญญาณรปรับขึ้นดอกเบี้ย ลดวงเงิน QE จะเกิดเมื่อไหร่  ซึ่งหากการประชุมเฟดเดือนนี้หรือเดือนหน้า เริ่มส่งสัญญาลดวงเงินQE ลง  เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงบ้างแต่เชื่อไม่ลดแรง ซึ่งหากปรับตัวลงมาเป็นโอกาสลงทุน      

 ทั้งนี้บล.บัวหลวงคาดเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้1,605 จุด เป็นกรณีฐานน่าจะได้เห็น อาจจะเห็นขึ้นแตะ 1,640จุด แล้วพักฐานลงมา ซึ่งหากมองดาวไซด์ 1,500 จุด น่ากลับมาซื้อหุ้น เพราะหุ้น พลังงานและธนาคารปรับลงมาแล้ว เป็นโอกาสซื้อแล้ว  เพราะในปีหน้าคาดกำไรบจ.จะปรับตัวขึ้นสูงกว่าปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ  โดยคาดกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่98 บาทต่อหุ้น ทำให้ดัชนีปีหน้าอยู่ที่ 1,784 จุด  

  "ตลาดหุ้นรอบนี้ที่ปรับฐานลงมาที่ระดับ 1,530 จุด ลดลง 5-6% จากจุดสูงสุดปีนี้ที่ 1,640 จุด เชื่อว่าดัชนีจากนี้น่าจะรีบาวด์ได้อย่างต่อเนื่อง แต่อัพไซด์จะไม่มาก เพราะเรามองระดับดัชนีเหมาะสมปีนี้ที่ 1,605 จุด ซึ่งหากดัชนีขึ้นแรงกว่านั้นนักลงทุนก็ต้องระมัดระวัง และเลือกลงทุนหุ้นมากขึ้น "สัดส่วนการลงทุน รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ด้วยความกูกหุ้นไทยให้น้ำหนักมากกว่า 50% ไปลงทุนต่างประเทศอีทีเอฟ กองทุนรวมที่กระจายการ   

     สำหรับธีมการลงทุนในช่วงที่ผู้ติดเชื้อยังสูง มองเป็นโอกาสลงทุนหุ้นที่มีรายได้จากต่างประเทศที่จะมีผลการดำเนินงานที่ดี เช่น หุ้นส่งออก ทั้งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอีกกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มสายเดินเรือเน้นเรือที่ขนส่งแบบตู้สินค้า แนะนำคือ   RCL  LEO  และกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งปีหน้ากำไรเตบิโตที่ดี และราคาไม่สูงแนะนำ   OSP  รวมถึงกลุ่มแพคเกจจิ้ง (SCGP) ขนส่งบรรจุภัณฑ์(KEX) ซึ่งสามารถลงทุนได้ในระยะสั้น  

   ทั้งนี้หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลดลง มองเป็นจังหวะซื้อหุ้นเปิดประเทศ  ซึ่งการจังหวะการลงทุนดังกล่าวแนะให้ดูตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ และตัวเลขที่รักษาหายกลับบ้านหากใกล้เคียงกันก็เป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นเปิดประเทศ 

   สำหรับส่วนตัวให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยมากกว่า 50%  ส่วนที่เหลือกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ กองทุนอีทีเอฟ กองทุนรวมที่กระจายการลงทุนไปต่างประเทศ
              

นายรุ่งโรจน์ แก้วกาญจนา กรรมการผู้จัดการ บลน. ยูเนี่ยนเว็ลธ์  กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจลงทุน เนื่องจาก ประเทศไทยมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานซึ่งขณะนี้มีการลงทุนต่อเนื่อง แต่ระหว่างทางมีปัญหา เช่นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนักลงทุนซื้อบนความคาดหวังประเทศไทย จะมีทิศทางดีขึ้น ผลตอบแทนกองทุนรวมดัชนีSET50 ใน21 ปี ลงทุนปีละ 1 แสนบาท จะใส่เงิน2.1 ล้านบาท แต่ผลอตบแทนพอร์ตจะอยู่ที่6.1 ล้านบาท คือกำไร 4 ล้านบาท  โดยถือว่าผลตอบแทนกองทุนรวมที่ดีเท่ากับดัชนีผลตอบแทนดัชนีและเงินปันผล 

ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไทยเก่งสามารถประคองตัวผ่านวิกฤติต่างๆมาได้ หลายวิกฤติ และวิกฤติโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมานั้น ในต้นปีนี้จะเห็นว่าผลประกอบการของบจ.ฟื้นตัว เพราะ บจ.ปรับตัวใช้ออนไลน์ใช้เทคโนโลยีมาช่วย   

 อย่างไรก็ตามหากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างเสร็จ เชื่อว่าเงินต่างประเทศจะไหลกลับมา ดังนั้นจึงมองว่าตลาดหุ้นไทยมีเสน่ห์ และลงทุนได้ในระยะยาว  

     สำหรับคำแนะนำจัดพอร์ตการลทุน นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งในส่วนของหุ้นไทยแนะนำลงทุน 30%  ซึ่งกระจายลงทุนทั้งหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลางและหุ้นขนาดเล็ก  อีก 30% กระจายการลงทุนไปหุ้นทั่วโลก กระจายที่สหรัฐอเมริกา 20%  ตลาดหุ้นเอเชีย เช่น จีน เกาหลีใต้  อีก 10% ลงทุนกองรีท และที่เหลืออีก 10% ลงทุนในกองทุนรวม 


นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย)กล่าวว่า  การลงทุนนั้นจะต้องพิจารณใน2 เรื่อง คือ ภาพรวมของเศรษฐกิจ และ ภาพรวมของตลาดการเงิน ตลาดทุนทั่วโลก  ในด้านเศรษฐกิจที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ คือการเติบโตของเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ซึ่งชัดเจนแล้วว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวไม่พร้อมกัน โดยประเทศพัฒนาแล้ว เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดี ขณะที่เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่จะฟื้นตัวช้ากว่า ทำให้การโตของเศรษฐกิจจะมีความเหลื่อมล้ำกัน ไ

ทั้งนี้ทางแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ลินลินซ์ ได้มีการได้มีการสำรวจนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนทั่วโลก ถึงแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยส่วนใหญ่  50%มองว่าเศรษฐกิจทั่วโลกขยายตัวเล็กน้อย ในช่วง12เดือนข้างหน้า คนที่มองว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีลดลงเหลือเพียง22% 

สำหรับปัจจัยที่นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนกังวล สำหรับประเทศไทย ที่น่ากังวลที่สุดและเป็นตัวแปรสำคัญหากไม่สามารถแก้ไขไม่ได้ จะไปต่อไม่ได้ คือ วัคซีน และการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้ไม่สามารถมองไปข้างหน้าไม่ได้  แต่ฝั่งอเมริกานักลงทุนกังวลเรื่องเงินเฟ้อ  หากเศรษฐกิจเปิดเต็มที่เงินเฟ้อสูงขึ้น จะกลายเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจหรือไม่                

  ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกที่ไม่ใช่ไทยและสหรัฐ นั้นจะกังวลการใช้นโยบายการเงินของธนาคารประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะเฟด ถึง แม้เฟดจะยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายอยู่ แต่ทุกคนมองว่าดูในตลาดการเงินบอนด์ยิลด์สหรัฐระยะยาว 10ปี ยังไม่ถึง1.4%และมีแนวโน้มต่ำลงอีก สะท้อนการขยายตัวเศรษฐกิจต่ำมาก

ทำให้สหรัฐสามารถใช้นโยบายการเงินเข้มงวดได้ ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินมากช่วย หากประชุมเฟดส่งสัญญาณการลด QE และขึ้นดอกเบี้ย ในภายในปีหน้า จะมีแรงขายสินทรัพย์ในประเทศอื่นเพื่อนำเงินกลับไปสหรัฐ และดอลลาร์ ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยจะดีเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนทั่วโลกว่ามองหุ้นไทยแบบไหน ถ้าสังเกตหุ้นไทยจะเป็นกลุ่มแวลูเป็นหุ้นพื้นฐาน ซึ่งไม่มีหุ้นโกรสที่โตเร็วและแรง  เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนและหากมีการเปิดเมืองได้ จะเป็นจุดเด่นของเมืองไทย  แต่ตอนนี้ภาพกลับกันเงินบาทอ่อนค่า เศรษฐกิจไม่ฟื้น จีดีพีอยู่ระดับกลางและต่ำ ทำให้มองว่ากำไรบจ.ฟื้นตัวเมื่อไร ถ้ายังไม่ฟื้นในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่เป็นตลาดแรกที่นักลงทุนให้ความสนใจลงทุน 

สำหรับการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดหุ้นโลกที่ให้ผลตอบแทนมากสุด จะเป็นฝั่งยุโรป และอเมริกา  แต่ในฝั่งของตลาดหุ้นจีนและไทยให้ผลอตบแทนอยู่ในอันดับท้ายๆ 

ดังนั้นการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง หากนักลงทุนมองว่าภาพเศรษฐกิจโลกยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากครึ่งปีแรก 2564 นักลงทุนอาจจะลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นได้ดีต่อเนื่อง เช่น  สหรัฐและยุโรป แต่หากภาพเปลี่ยนไป เช่นหากในฝั่งเอเชีย และไทยสามารถคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียและไทยจะฟื้นตัวดี ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุน แต่หากเงินเฟ้อสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ทำให้ตลาดเกิดใหมีฟื้นตัว แต่หากสหรัฐเงินเฟ้อพุ่งจะส่งผลดีกับตลาดเกิดใหม่ ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น  และหากดอกลลาร์แข็งค่ากว่านี้ นักลงทุนยังคงลงทุนในตลาดอเมริกา ไม่ย้ายลงทุนมาตลาดเกิดใหม่

"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วโตดีกว่า จึงแนะนำการลงทุนในประเทศพัฒนาแล้วก่อนจากมองมีความปลอดภัยกว่า  เพราะจะมีนโยบายการเงินการคลัง มาช่วงแต่ต้องจับจังหวะ เพราะอาจไม่ดีเหมือนกับครึ่งปีแรก อาจจมีโอกาสย่อลงมากว่านี้"