ล็อกดาวน์ 13 จังหวัดทุบจีดีพี 3 แสนล้าน

(ชมคลิปข่าวด้านล่าง) ล็อกดาวน์ 13 จังหวัดทุบจีดีพี 3 แสนล้าน

รัฐบาลยกระดับการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 อีกครั้ง โดยประกาศมาตรการกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน เวลา 21.00-04.00 น. บังคับใช้สำหรับ 10 จังหวัดในพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และเพิ่มพื้นที่ในอีก 3 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิดยังคงรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่อง

โดยกรมควบคุมโรคระบุว่าหากแนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อยังสูงต่อเนื่องใน 2 เดือน มีแนวโน้มจะใช้มาตรการคล้ายเมืองอู่ฮั่น คือล็อกดาวน์เมือง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโดยให้ประชาชนอยู่บ้าน งดการเดินทาง หรือถึงขั้นต้องส่งข้าว ส่งน้ำตามบ้าน

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สุพันธุ์ มงคลสุธี ระบุ กรณีที่การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการล็อกดาวน์ 13 จังหวัดและอาจนำไปสู่การปิดเมืองลักษณะเดียวกับที่เมืองอู่ฮั่นของจีนดำเนินการนั้น หากทำจริงจะทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจและภาคการผลิตหยุดทั้งหมดจะกระทบให้เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจติดลบได้เพราะจะไม่มีเครื่องยนต์ใดที่เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับการปิดเมืองแล้วจะกลับมาดีขึ้นได้จำเป็นต้องมีวัคซีนที่จะฉีดให้ประชาชนเพียงพอให้ได้ 50-70% หรือฉีดให้ได้มากที่สุด เพราะหากปิดเมืองแต่ไม่มีวัคซีนทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้นเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม การขยายวันล็อกดาวน์จนถึงวันที่ 2 สิงหาคม และเพิ่มอีก 3 จังหวัดจะทำให้เศรษฐกิจเสียหายเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท จากเดิมที่ประเมิน 50,000-60,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงการล็อกดาวน์ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 หรือไม่ ซึ่งการล็อกดาวน์ต้องทำควบคู่กับ 2 เรื่อง คือ การหาผู้ติดเชื้ออย่างเข้มข้นเพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกจากไม่ติดเชื้อซึ่งรัฐต้องเร่งจัดหาชุดตรวจโควิด-19 ให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ และการมีวัคซีนเพื่อระดมฉีดให้แก่ประชาชน

ด้านประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย แสงชัย ธีรกุลวาณิช ระบุ มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดใน 13 จังหวัดที่มีการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง แม้ว่าจะเป็นมาตร การที่จำเป็นในการชะลอการระบาดของเชื้อโรคได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหนาแน่น โดยคิดเป็นสัดส่วนของจีดีพีไทยสูงถึง 60% หรือกว่า 9.8 ล้านล้านบาท จากจีดีพีทั้งประเทศที่ 16.8 ล้านล้านบาท

โดยจากการประเมินการล็อกดาวน์ 13 จังหวัดจะฉุดให้จีดีพีลดลงประมาณ 1.6 แสนล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเมื่อรวมกับก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลประกาศกึ่งล็อกดาวน์ 3 เดือน จะกระทบต่อจีดีพีประมาณเดือนละ 5 หมื่นล้านบาท รวมแล้วกว่า 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ในปีนี้จีดีพีจะหายไปกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งอาจทำให้จีดีพี ปี 2564 ไม่ขยายตัว หรือขยายตัวได้ไม่ถึง 1%

อย่างไรก็ตาม หากในช่วงล็อกดาวน์ รัฐบาลเร่งตรวจเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อ คัดแยกผู้ป่วยออกมารักษา และเร่งฉีดวัคซีนได้มากขึ้น รวมทั้งบูรณาการการทำงานของกระทรวงต่าง ๆ และเอกชนให้ไปในทิศทางเดียวกัน ให้ข้อมูลกับประชาชนที่ตรงกัน ก็จะทำให้การระบาดทุเลาลง และอาจทำให้ในปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ตัวเลขเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น เอสเอ็มอีกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ และโรงงานส่งออกผลิตได้โดยไม่สะดุด ก็อาจทำให้จีดีพีไทยกลับมาเป็นบวกในอัตราที่น่าพอใจได้

ทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจบิซอินไซต์ รายงาน