ฟื้นระบบเลือกตั้ง “รธน.40” เกมยาว “ระบอบประยุทธ์”
รอบ ยกร่าง รัฐธรรมนูญ 2560 "คสช." คือ ผู้วางหลัก สร้างกติกา เพื่อให้ "อยู่ยาว" มารอบนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ชัดเจนคือการ ปรับกติกา ชัดเจนอย่างยิ่ง ในเจตนา ที่ว่า "เขายังอยากอยู่อีกยาว"
การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 รอบนี้ ดูเหมือนขาดเอกภาพ โดยเฉพาะประเด็นแก้ระบบเลือกตั้งจากจัดสรรปันส่วนผสม บัตรเลือกตั้งใบเดียวไปเป็นระบบเสียงข้างมากซ้อน และบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบบรัฐธรรมนูญ 2540
เสียงที่สนับสนุนให้แก้คือ “พรรคพลังประชารัฐ-พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาธิปัตย์-พรรคชาติไทยพัฒนา”
เสียงที่ไม่สนับสนุน คือ “พรรคก้าวไกล-พรรคเสรีรวมไทย-พรรคภูมิใจไทย”
เหตุผลที่ขั้วรัฐบาล และขั้วฝ่ายค้านเสียงแตก มีเพียงอย่างเดียวคือการได้เปรียบ-เสียเปรียบของพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้ง
ต่อประเด็นนี้ “เจษฎ์ โทณะวณิก” นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชี้ให้เห็นภาพว่า ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม บัตรเลือกตั้งใบเดียว และใช้การคำนวณ ส.ส.ที่พึงมีตามคะแนนความนิยมที่แท้จริงทำให้พรรคเพื่อไทยเสียเปรียบ เพราะได้ ส.ส.เขตเต็มคะแนนนิยม ทำให้มองว่าระบบเลือกตั้งแบบเก่าทำให้ได้ประโยชน์กว่า รวมถึงพรรคพลังประชารัฐที่มีกลุ่มนักการเมืองขั้วเก่าซึ่งดึงมาจากไทยรักไทย พลังประชาชน และประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา มองว่าระบบเลือกตั้งนั้นง่ายกว่า คุ้นกว่า
ส่วนพรรคก้าวไกล หรืออนาคตใหม่เดิม ถือว่าได้อานิสงส์ เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย
“เหตุผลที่ กรธ. ออกแบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวที่ไม่มีใครพูดถึงคือ เดิมการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญ 2550 ที่ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แต่ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นคือผู้มีสิทธิเลือกตั้งมักกาบัตรแบบเขต และบัตรบัญชีรายชื่อเป็นพรรคการเมืองเดียวถึง 80% แต่มีเพียง 20% ที่เลือกผู้สมัครเขต แตกต่างจากบัญชีรายชื่อ ดังนั้นการออกแบบจึงกำหนดให้มีบัตรเลือกตั้งใบเดียว เพื่อใช้หลักพิจารณาเลือกผู้แทน ได้เต็มที่ ส่วนการคิดคะแนนนั้นเพื่อเป็นหลักประกันว่ ทุกคะแนนเสียงของประชาชนไม่ตกน้ำ”
กรณีปรับระบบไปใช้การเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากซ้อนเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ตามพรรคพลังประชารัฐเสนอ “นักวิชาการด้านนิติศาสตร์” มองว่า เป็นความย่ามใจของคนพลังประชารัฐที่คิดว่าจะชนะพรรคเพื่อไทย แต่กลับไม่ได้ดูข้อเท็จจริงอันสำคัญ
“เลือกตั้งปี 2562 พรรคพลังประชารัฐส่งผู้สมัคร 350 เขต ได้ส.ส.เข้าสภาฯ น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยที่ส่งผู้สมัครเพียง 250 เขต แม้มีความพยายามบอกว่าคะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐเหนือกว่าพรรคเพื่อไทย แต่แค่ 6 แสนเท่านั้น ดังนั้นหากปรับระบบเลือกตั้ง อาจจะเข้าทางพรรคเพื่อไทย และทำให้เขากลับมาชนะ ไม่ว่ากติกาเลือกตั้งจะเปลี่ยนไป เพราะพรรคเพื่อไทย หรือพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชนเดิมมีความเข้มแข็ง ทั้งในภาคเหนือ และภาคอีสานเป็นทุน”
ดังนั้นสิ่งที่ “พลังประชารัฐ” คิดว่าอยากชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ หากเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งได้ เมื่อลองทำผลลัพท์อาจเข้าทาง “คนเพื่อไทย” ที่ถนัดและเข้มแข็งในระบบเลือกตั้งแบบเก่ามากกว่า
อย่างไรก็ดี “อ.เจษฎ์” มองผ่านเกมแก้รัฐธรรมนูญด้วยว่า สิ่งเดียวที่คนคิดแก้ระบบเลือกตั้งต้องการ คือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น และสิ่งนี้ถือว่า “อันตราย” เพราะอาจทำให้สถานการณ์การเมือง ย้อนกลับไปเป็นสภาพเก่า ที่ถูกตั้งฉายาว่าเผด็จการรัฐสภา - สภาผัวเมีย - องค์กรอิสระเป็นอัมพาต
ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดเริ่มต้นของวงจร “ล้มระบอบประชาธิปไตย” ไปสู่ยุค “เผด็จการทหาร”
แม้สภาพ “การเมือง” ปัจจุบันจะตกในสถานการณ์ไม่แตกต่างจากอดีตมากนักเพราะ“ระบอบประยุทธ์” ที่พรรคฝ่ายค้านขนานามให้ ปูทางผ่านการสร้างกติกาให้ผู้นำการเมืองปัจจุบันเข้มแข้ง-คุมเสียงข้างมากในสภาฯ-คุม ส.ว.ได้เบ็ดเสร็จ-องค์กรอิสระทำงานได้ไม่เต็มที่
ดังนั้น เกมปรับระบบเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเป็นการปูทางสร้างเกมยาวของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”นายกรัฐมนตรี และองคาพยพที่ปรารถนาอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้.