'โรงภาพยนตร์' จะอยู่รอดไหม ในยุค Streaming

'โรงภาพยนตร์' จะอยู่รอดไหม ในยุค Streaming

เปิดบทวิเคราะห์ จะเป็นอย่างไรหากภาพยนตร์ทั้งหมดที่จะออกฉายในโรงภาพยนตร์นั้น จะฉายในระบบสตรีมมิ่งไปพร้อมๆ กันในช่วงเวลาเดียวกันด้วย ปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงภาพยนตร์หรือไม่?

เมื่อเร็วๆ นี้ วอร์เนอร์บราเธอร์ส (WB) กลุ่มบริษัทผลิตสื่อและความบันเทิงขนาดใหญ่สัญชาติอเมริกันได้สร้างกระแสในโลกภาพยนตร์ โดยประกาศว่าภาพยนตร์ทั้งหมดที่เปิดตัวในปี 2564 จะออกฉายในโรงภาพยนตร์ในสหรัฐ พร้อมกับระบบสตรีมมิ่งแบบสมัครสมาชิก HBO Max ของ Warner Media 

หากแนวทางปฏิบัตินี้กลายเป็นบรรทัดฐานของโรงถ่าย (ผู้สร้างภาพยนตร์) จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงภาพยนตร์หรือไม่ บทความในวารสาร Harvard Business Review วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงล่าสุดในเกาหลีใต้สรุปว่า แนวปฏิบัติดังกล่าวไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อความอยู่รอดของโรงฉายภาพยนตร์เหมือนกับที่พวกเขากังวล

เมื่อ ธ.ค.2563 วอร์เนอร์บราเธอร์สประกาศว่า ภาพยนตร์ทั้งหมดที่จะเปิดตัวในปี 2564 จะเปิดฉายในระบบสตรีมมิ่งแบบสมัครสมาชิก HBO Max ของกลุ่ม (เปิดตัวเมื่อ 27 พ.ค.2563) พร้อมกับรอบปฐมทัศน์ในโรงภาพยนตร์ในสหรัฐ รวมถึงภาพยนตร์ยอดนิยมเช่น Matrix 4, Dune, Godzilla vs. Kong และ The Suicide Squad ประกาศดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ด้วยเหตุผลหลายประการ

ประการแรก ก่อนที่จะมีประกาศดังกล่าว ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเกือบทั้งหมดจะเปิดฉายรอบพิเศษในโรงภาพยนตร์เป็นเวลา 3 เดือนก่อนที่จะฉายทางช่องเคเบิลในบ้าน อันที่จริงเจ้าของโรงภาพยนตร์ขู่ว่าจะคว่ำบาตรผู้สร้างภาพยนตร์ที่ละเมิดกฎการฉายภาพยนตร์ในโรง ซึ่ง AMC Theatre เคยดำเนินการใน เม.ย.2563 เพื่อลงโทษโรงถ่ายภาพยนตร์ NBC Universal ที่ฉายภาพยนตร์เรื่อง Trolls World Tour ในโรงภาพยนตร์พร้อมกับช่องดิจิทัล โดยประกาศคว่ำบาตรภาพยนตร์ทุกเรื่องของผู้สร้างที่คิดเปลี่ยนแปลงการฉายภาพยนตร์

ประการที่สอง ขณะที่ผู้สร้างภาพยนตร์หลายแห่งเปิดตัวภาพยนตร์ในช่องดิจิทัล เนื่องจากโรงภาพยนตร์ปิดให้บริการในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกาศของ WB ครอบคลุมกำหนดการฉายภาพยนตร์ทั้งหมดในปี 2564 รวมทั้งภาพยนตร์ที่มีกำหนดออกฉายปลายปี 2564 ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เชื่อว่าโรงภาพยนตร์ไม่ต้องอยู่ใต้บังคับของโควิด-19 อีกต่อไป ข้อจำกัดดังกล่าวทำให้ดูเหมือนว่า WB ต้องการให้การงดฉายภาพยนตร์ในโรงชั่วคราวกลายเป็นแบบถาวร

เจ้าของโรงภาพยนตร์และผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมภาพยนต์ ได้วิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวของ WB ทันที Chris Johnson ซีอีโอของ Classic Cinemas เรียกการตัดสินใจของวอร์เนอร์ว่า “ไร้สาระและคิดสั้น (ridiculous and short-sighted)”

Adam Aron ซีอีโอของ AMC Theatres แย้งว่า WB ควรจะ “เสียสละรายได้จำนวนหนึ่ง” จากการฉายภาพยนตร์ในโรงแบบดั้งเดิม

David Sims กล่าวถึงการตัดสินใจของ WB ว่า “ผู้ชมจะมีแรงจูงใจเพียงเล็กน้อยที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์” โดยสรุปว่า “เจ้าของโรงภาพยนตร์มีสิทธิที่จะกังวลเรื่องความอยู่รอด”

ความกังวลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาดั้งเดิมในอุตสาหกรรม กล่าวคือเพื่อความสะดวก ผู้บริโภคจำนวนมากมีทางเลือกที่จะหลีกเลี่ยงประสบการณ์การชมภาพยนตร์ “จอใหญ่” มารับชมภาพยนตร์เรื่องเดียวกันที่บ้าน หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงสร้างความเสียหายอย่างมากต่อโรงภาพยนตร์

แต่มันจริงหรือ? การเปิดฉายภาพยนตร์ทางช่องดิจิทัลก่อน จะส่งผลเสียอย่างมากต่อรายได้จากการฉายในโรงภาพยนตร์หรือไม่? ผู้เขียนบทความวิเคราะห์คำถามการวิจัยในการศึกษาล่าสุด ซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่กังวลว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลรุกล้ำธุรกิจโรงภาพยนตร์

การศึกษาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกับรายได้จากการฉายภาพยนตร์ในเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2558-2561 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูด ได้ลดระยะเวลาฉายภาพยนตร์เฉพาะในโรงจาก 3 เดือนเหลือเพียง 1 เดือน โดยพบว่าหลังจากควบคุมความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์ที่เปิดตัวทางดิจิทัลก่อนกับการเปิดตัวในโรงภาพยนตร์ การเปิดตัวก่อนมีผลกระทบทางสถิติและเศรษฐกิจ โดย “ไม่มี” นัยสำคัญต่อยอดขายตั๋วโรงภาพยนตร์ที่ลดลงประมาณร้อยละ 0.8 ของรายได้ทั้งหมดในช่วง 8 สัปดาห์แรกของภาพยนตร์ที่ฉายในเกาหลีใต้ 

ผู้ชมภาพยนตร์ส่วนใหญ่ยังคงภักดีต่อประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในโรง แม้พวกเขามีทางเลือกในการรับชมภาพยนตร์ที่บ้านในขณะที่ภาพยนตร์ยังคงฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์

เราควรตีความผลลัพธ์นี้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากผู้บริโภคในสหรัฐอาจมีพฤติกรรมแตกต่างจากผู้บริโภคชาวเกาหลีใต้ เมื่อมีการเปิดตัวภาพยนตร์ในช่องดิจิทัล ผลการศึกษาจะใช้กับภาพยนตร์ที่เปิดฉายช่วงวันหยุดเฉพาะในโรงภาพยนตร์เป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาการเปิดตัวคล้ายกับกรอบเวลาการออกฉาย 17 วันในโรงภาพยนตร์ ที่ AMC และ NBCUniversal เจรจากัน มากกว่าจะการให้บริการแบบ “วันและวันที่” ซึ่ง WB เสนอบนช่องทาง HBO Max

ข้อค้นพบที่เห็นได้ชัดสอดคล้องกับสิ่งที่เราเห็นในลักษณะอื่นๆ ซึ่งหลายคนเกรงว่าผลิตภัณฑ์ดิจิทัลใหม่ๆ จะทำลายตลาดที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น การวิจัยที่ผ่านมาพบว่าการขายหนังสือบนแพลตฟอร์ม Kindle ของ Amazon ไม่ได้ลดทอนยอดขายหนังสือปกแข็งอย่างมีนัยสำคัญ เพลงดิจิทัลที่ตัดจากอัลบั้มไม่ได้ทำลายรายได้เพลงโดยรวมและการเปิดตัวภาพยนตร์บน iTunes ไม่เป็นอันตรายต่อยอดขายภาพยนตร์ DVD 

ในแต่ละกรณีข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการเปิดช่องทางดิจิทัลใหม่ไม่ใช่เกมที่ผู้ชนะได้ประโยชน์สูงสุด (zero-sum game) แต่ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลใหม่ๆ ดึงดูดลูกค้าใหม่และลูกค้าที่ยังไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์มาก่อน การวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดจะส่งผลดีต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ขายในที่สุด

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการศึกษาในเกาหลีใต้ชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์อาจมีกระทบคล้ายคลึงกัน ซึ่ง John Fithian ประธานสมาคมเจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งชาติกล่าวว่า “โรงภาพยนตร์มอบประสบการณ์ดื่มด่ำอันเป็นที่รักและแบ่งปันสิ่งที่ไม่สามารถเลียนแบบได้” 

แต่ Jason Kilar ซีอีโอของ WarnerMedia ก็พูดถูกเช่นกันว่าการเปิดตัวภาพยนตร์ในช่องดิจิทัลก่อน เปิดโอกาสทางเลือกให้กับลูกค้า “ไม่ว่าจะเป็นการเลือกชมภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่องใหม่ในโรงภาพยนตร์หรือเปิดชมทาง HBO Max หรือทั้งสองอย่าง”

นี่เป็นสัญญาณที่ให้กำลังใจ บางทีเมื่อพูดถึงการเปิดตัวภาพยนตร์ ผู้บริหารโรงถ่ายภาพยนตร์และเจ้าของโรงภาพยนตร์มีความเห็นพ้องต้องกันมากกว่าที่พวกเขาคิด