เจาะ 4 ดีกรี 'บิ๊ก ปชป.' ฝ่าด่านหิน 'ผู้ว่าฯกทม.'

พลันที่ "เทพไท เสนพงศ์" ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิด 4 ชื่อแคนดิเดทของพรรคให้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ ตามการคาดการณ์ไทม์ไลน์เลือกตั้งท้องถิ่นในปี 2564 จะไล่เรียงตั้งแต่เทศบาล เลือกตั้ง อบต. เลือกตั้งนายก เมืองพัทยา ปิดท้ายที่เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.

เมื่อ 4 รายชื่อขุนพลประชาธิปัตย์ที่ "เทพไท" ออกมาจุดพลุประเด็นสนามเลือกตั้ง กทม.ครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงไม่นานจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม.คนปัจจุบัน บอกกับผู้สื่อข่าวที่รัฐสภาฯ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ว่า ถึงการลงสมัครว่าเตรียมตัวฟิตร่างกายแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ "บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดตัวทางเฟซบุ๊ค "จักรทิพย์" โดยตัดยศ "พล.ต.อ." ออกไป ซึ่งคล้ายกับท่าที พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดตัวเฟซบุ๊ค "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2561 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ 24 มี.ค.2562 เพียง 5 เดือน

แน่นอนว่าจากกระแสที่มาจากฝั่งพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ ทำให้ "ประชาธิปัตย์" ต้องเริ่มขยับตัวช่วงชิงกระแสฐานเสียงคนกรุงเทพฯในฐานะอดีตพรรคการเมืองที่ครองพื้นที่เมืองหลวงมานาวยาน แต่จากผลเลือกตั้ง 24 มี.ค. ประชาธิปัตย์ไม่ได้เสียง ส.ส.ในกรุงเทพฯแม้แต่คนเดียว ทำให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ประชาธิปัตย์ ไม่ต่างกับสถานการณ์ "หลังพิงฝา" หากจะให้เป็นพรรคการเมืองที่กลับมาครองพื้นที่ฐานเสียงคนเมืองหลวงอีกครั้ง

สำหรับ "4 แคนดิเดต" ที่ "เทพไท" ออกมาเปิดชื่อนั้น ถึงแม้ยังเป็นช่วงที่กระบวนการภายใน "ประชาธิปัตย์" อยู่ระหว่างเปิดโอกาสให้ผู้สนใจแจ้งความจำนงขอสมัครเข้ารับเลือกตั้งสำหรับท้องถิ่นในนาม "ปชป." ที่ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารายชื่อ "4 บิ๊กเนม" ที่ประกาศเป็นรายชื่อที่ "เทพไท" เตรียมเสนอต่อคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณา เพื่อออกมติเตรียมตัวรณรงค์หาเสียงให้กับผู้สมัครในนามพรรคโดยเร็ว

หากลงรายละเอียดดีกรี "4 แคนดิเดต" ที่ถูกประกาศออกมานั้น เริ่มที่ "องอาจ คล้ามไพบูลย์" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลกทม. และประธาน ส.ส.พรรค ถือเป็นนักการเมืองที่เข้าใจปัญหาคนกรุงเทพฯ มากที่สุดคนหนึ่ง ในฐาะนะที่เป็น ส.ส.กทม.มาหลายสมัย มีประสบการณ์หาเสียงให้ผู้สมัครเลือกตั้งสนามเมืองหลวงมาอย่างโชกโชน "องอาจ" เป็นนักการเมืองที่ไต่เต้ามาจากการเป็นส.ก.เขตบางกอกน้อย เมื่อปี 2528 จากนั้นขยับมาลงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งแรกในการเลือกตั้ง 22 มี.ค.2535 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะมาลงสมัคร ส.ส.เขตบางกอกน้อยอีกครั้งในการเลือกตั้ง 18 พ.ย.2539 โดยสามารถยึดพื้นที่ในนาม ส.ส.ประชาธิปัตย์มาโดยตลอด จนกระทั่งในช่วงรัฐบาล "อภิสิทธิ เวชชาชีวะ" เข้ามาบริหารประเทศ "องอาจ" ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีก่อนจะเป็น ส.ส.อีกครั้งในระบบบัญชีรายชื่อในปี 2554 และ 2562

ขณะที่ "สามารถ ราชพลสิทธิ์" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  เป็นอดีต ส.ส. และอดีตรองผู้ว่าฯกทม. กำกับดูแลฝ่ายโยธาและจราจรในยุคนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ กทม.ช่วงปี 2547-2548 โดยเฉพาะภารกิจที่ "ดร.สามารถ" ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการด้านการจราจรหลายโครงการที่สำคัญในขณะนั้น อาทิ โครงการรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที และยังรับผิดชอบควบคุมดูแลโครงการต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอสไปยังฝั่งธนบุรี

"สามารถ" เป็นหนึ่งนักการเมืองประชาธิปัตย์ที่เชี่ยวชาญด้านการขนส่งและการจราจรมากที่สุดคนหนึ่ง มีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวข้องกับจราจรและขนส่งทั้งในและต่างประเทศหลายในหลายประเทศมาแล้วมากมาย อาทิ โครงการวางแผนระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเมืองเกาชุง ประเทศไต้หวัน โครงการศึกษาความเหมาะสมระบบรถไฟฟ้ากรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และโครงการวางแผนแม่บทโครงข่ายถนนและรถไฟฟ้าในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์

มาที่ชื่อ "พนิต วิกิตเศรษฐ์" ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นหนึ่งในทีม "รองผู้ว่าฯกทม." ในยุคภิรักษ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม.ในช่วงปี 2547-2551 เช่นกัน โดย "พนิต" ถือเป็นหนึ่งผู้ที่มีประสบการณ์การบริหารงานทั้งภาครัฐและเอกชน มีความเชี่ยวชาญทางด้านการเงินการคลัง จบการศึกษามัธยมศีกษา จาก Wilbraham & Monson Academy รัฐแมสซาชูเซตส์สหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2529 ระดับปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2535 และประกาศนียบัตร หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 6

ส่วนชื่อ "ปริญญ์ พานิชภักดิ์" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย ในยุค "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" เป็นหัวหน้าพรรค "ปริญญ์" เป็นลูกชายคนโตของ "ดร.ซุป" ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายสมัยของประชาธิปัตย์ และเป็นอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด (UNCTAD)

"ปริญญ์" ถือเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงเชี่ยวชาญเรื่องเศรษฐศาสตร์เป็นพิเศษ มีประสบการณ์มากมายในด้านการบริหารระดับสูงภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศมากกว่า 20 ปี โดยเฉพาะตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นกรรมการหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง อาทิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย, นวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), สำนักงาน พัฒนาธุรกรรมทางอิเล็ก ทรอนิกส์ (ETDA) รวมทั้งเป็นหุ้นส่วนร้าน “เป็ดย่างโฟร์ซีซันส์” จากลอนดอนที่มาเปิดสาขาในไทย ซึ่งประสบการณ์ทั้งหมดได้รับความไว้วางใจในฐานะ "หัวหน้าทีมอเวนเจอร์เศรษฐกิจ" ของจุรินทร์

ไม่ใช่แค่ 4 รายชื่อภายในประชาธิปัตย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมี "บุคคลภายนอก" ที่พรรคได้ทาบทามพูดคุยมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อคัดชื่อแคนดิเดทที่เหมาะสมที่สุด ในสถานการณ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ขึ้นชื่อว่าจะเข้มข้นดุเดือดมากที่สุดครั้งหนึ่ง ในภาวะที่ประชาธิปัตย์ต้องเร่งกอบกู้ภาพลักษณ์ในฐานะอดีตพรรคการเมืองที่ครองสนามเลือกตั้ง กทม.มาอย่างยาวนาน

แต่กระดูกเหล็กที่มาจาก "ฐานเสียง" 3 พรรคใหญ่ตั้งแต่พลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย ก้าวไกลนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญส่งผลถึงทุกคนแนนจากคนกรุงเทพฯ ที่บีบไปถึงผลการเลือกตั้งของ "ประชาธิปัตย์" จะกลับมากู้ศักดิ์ศรีคืนได้แค่ไหน

เมื่ออีกด้านยังมี "ตัวแปร" จากผู้สมัครอิสระในชื่อ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์-รสนา โตสิตระกูล" พร้อมเปิดหน้าชนพรรคการเมืองใหญ่ตัดหน้าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ได้ทุกเมื่อ.